วันจันทร์ที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2560

ศาสนาไม่สอนสิ่งที่ผิด

ศาสนาไม่สอนสิ่งที่ผิด
ธรรมจาริกแดนหมีขาว
     " พุทธทํานาย เคยตรัสเรื่องหนึ่งว่า ในที่สุด พระสงฆ์ ก็จะเหลือแต่ ผ้าเหลืองทัดหู อาตมาไม่เคยเชื่อว่ามันจะเป็นความจริงในยุคนี้ เพราะนี่เพียงแค่ผ่านกึ่งพุทธกาลไปไม่นานเท่านั้น แต่เราต่างก็เห็นว่า พระสงฆ์ได้ตกเป็นเป้าหมาย ถูกทำร้ายอย่างทารุณโหดร้าย จนถึงตายก็มีเป็นจำนวนมาก  ทำให้อาตมาเกิดความรู้สึกว่า การสวมใส่ผ้าเหลืองในยุคนี้ เริ่มมีปัญหาขึ้นแล้ว "
     ใช่...พระสงฆ์ในประเทศไทย เป็นเป้าหมายของการทำร้าย ทั้งถูกเข่นฆ่าและทารุณกรรม    เหตุการณ์เช่นนี้เริ่มจากภาคใต้ และลุกลามไปยังจังหวัดอื่นแล้ว นอกจากนี้ พระสงฆ์ยังเป็นเป้าหมายของการโจมตี การให้ร้ายทางสื่อ จนกระทั่งสังคมเข้าใจผิด คิดว่า เป็นพระสงฆ์ส่วนใหญ่ประพฤติปฎิบัติตนไม่เป็นที่น่าเคารพ จึงทำให้พระสงฆ์ดีๆจำนวนมากตกอยู่ในภาวะกดดันและอยู่ยาก
     ยิ่งกว่านั้น พระสงฆ์ เริ่มรู้สึกว่าตนเอง มี ปัญหาจากสภาพ  ความเป็นพลเมืองชั้นสอง ที่ไม่ได้รับ สิทธิพลเมืองและสิทธิสวัสดิการขั้นพื้นฐานจากรัฐ ดังมีข้อสังเกตว่า การที่พระสงฆ์ไม่มีสิทธิ์มีเสียง ในการเลือกตั้ง ทำให้นักการเมืองที่เป็นใหญ่ไม่เกรงใจ ไม่สนใจพระ เพราะพระไม่เป็นคะแนนเสียง สำหรับเขาและพรรคการเมืองของเขา
      " อาตมาคิดถึงพระสงฆ์มหายาน ซึ่งได้มีการ เปลี่ยนแปลงวิถีของพระสงฆ์ หลายประการ ซึ่งน่าจะมาจาก การปรับเปลี่ยน เพื่อให้สอดคล้องกับ สภาวะในแต่ละท้องถิ่น เช่น การจัดทำโรงอาหารเจสำหรับพระสงฆ์ในวัดพื่อที่นักบวชของเขาจะได้ไม่ต้องออกไปบิณฑบาตนอกวัด และการแต่งกายที่แตกต่างออกไป เพื่อให้สอดคล้องกับสภาพอากาศที่หนาวเย็น อาตมาคิดว่า พระสงฆ์ ในประเทศไทย ปัจจุบัน ก็มีความเสี่ยงจากปัญหา การออกบิณฑบาต เพราะพระตกเป็นเป้าหมายของการลอบทำร้าย จากศัตรูที่มองไม่เห็นตัว อีกทั้งอาหารที่ได้บิณฑบาตมา  ก็มีอาหารที่ไม่สะอาดบ้าง ไม่มีคุณภาพบ้าง และบางทีอาจมีสิ่งแปลกปลอมที่มีพิษร้ายต่อพระสงฆ์ แม้กระทั่งการปนเปื้อนจากยาเสพติด จากผู้ประสงค์ร้ายก็มี "
       ปัญหาเหล่านี้เพิ่มมากขึ้น เนื่องจากความอ่อนแอของทางการ ในการจัดการ กับปัญหา แต่พระสงฆ์เถรวาท ที่ไม่ออกบิณฑบาตเป็นเรื่องที่ทำได้ยากเพราะมีพระบัญญัติ ให้พระสงฆ์ต้องออกบิณฑบาตรไปโปรดสัตว์ มาตั้งแต่ครั้งพุทธกาลแล้ว
     โลกในยุคดิจิตอล พระสงฆ์เริ่มอยู่ยาก คนรุ่นใหม่มี ข้อมูลข่าวสารมากมายอยู่รอบตัว เป็นผลให้คนที่ไม่ใช่นักบวชก็ สามารถไขว่คว้าหา ธรรมะ ได้ง่าย โดยแทบไม่ต้องพึ่งพาพระสงฆ์เหมือนเมื่อก่อน บางคนรู้พระไตรปิฎก รู้พระอภิธรรม แล้วยังสวดมนต์เก่งกว่าพระอีก โยมจึงมีความรู้สึกว่า ตนเองมีความรู้มากกว่าพระสงฆ์ ทำให้โยมมีความคิดผิดๆว่า พระสงฆ์ก็คือคนธรรมดาห่มผ้าเหลืองเป็นสัญญลักษณ์เท่านั้นเอง หามีคุณวิเศษเป็นอริยะชนไม่
     "อันนี้ต้องคิดใหม่ พุทธบุตร ของพระพุทธเจ้าต้องถือศีล 227 ข้อ สูงกว่าฆราวาส ท่านหอมด้วยศีล ฆราวาสจะต้องเคารพ เพราะเป็นเนื้อนาบุญ และเป็นพุทธบุตรของพระพุทธเจ้า ถ้าพระสงฆ์ใดไม่เป็นพระแท้ หรือปฏิบัติผิดพระวินัย พุทธศาสนิก ต้องช่วยกันดูแลสอดส่องให้ท่านอยู่ในกรอบแห่งพระธรรมวินัย หรือไม่ก็อาราธนาให้ท่านสึกออกไป อย่าครองผ้าเหลืองให้ศาสนามัวหมอง และเป็นบาปกับตัวเอง อย่างร้ายแรง  ส่วน พุทธบุตรที่บวชใหม่ ก็เหมือนเด็กเกิดใหม่ ต้องค่อยๆประคับประคอง ให้ท่านเป็นผู้ใหญ่ที่ดีเช่นกัน สำหรับพระสงฆ์ก็ต้องปฏิบัติตัวใหม่ ให้เป็นที่น่าเคารพเพื่อทำหน้าที่สืบต่อพระพุทธศาสนาต่อไป"พระชาตรีกล่าว
   อันตรายต่อความศรัทธาในพระพุทธศาสนายังมาจาก ความเชื่อที่ไม่ถูกต้องซึ่งมี 2 ประเด็นสำคัญ ดังนี้
   ประเด็นที่ 1 ความเชื่อว่าหลังจากการตายแล้ว อัตตาขาดสูญ กรรมไม่มีผลใดๆ ต่อผู้กระทำ
     ประเด็นที่ 2 สุญญตาเป็นสูญ คือ ความไม่มีอะไร  นิพพานไม่มีอัตตาไม่มีสิ่งใดเป็นสูญ ไม่ใช่สิ่งที่ควรปรารถนา
      สองประเด็นนี้ เป็น ทิฏฐิ ที่ร้ายแรงมาก เรียกว่า เป็นอุจเฉททิฏฐิ มีที่ไปที่เดียวคือโลกันตนรก เพราะปฏิเสธ เรื่องจิตและภพชาติ ซึ่งเป็นคำสอนที่ลึกซึ้งของ     พระพุทธเจ้า 
     คนรุ่นใหม่มักปฏิเสธว่า ชีวิตหลังความตาย ไม่มีจริง พิสูจน์ไม่ได้ ภพภูมิก็ไม่มีจริง  กรรมก็ไม่มี จึงไม่มีผลของกรรมจากการกระทำทุกอย่าง   ไม่ว่ากรรมดีชั่วไม่มีผลย้อนกลับมาถึงตัวผู้กระทำ ทุกอย่างจึงจบสิ้นเพียงแค่ตายแล้วสูญ  ยิ่งมุมมองเรื่องนิพพานที่เป็นสภาวะสูงสุดว่า เป็นสูญอีกก็ยิ่งร้ายเข้าไปอีก เพราะ สภาวะนิพพานนั้นไม่ว่า จะเป็นอย่างไรก็ตาม แต่ก็เป็นสภาวะที่ไม่มีการเกิดในวัฏสงสารอีกต่อไป จึงย่อมเป็นสิ่งที่ดี น่าปรารถนาเป็นอย่างยิ่ง
      ผู้ที่มีความเชื่อว่า ตายแล้วสูญ และทำตามใจตัวเองในสิ่งที่ผิด แม้แต่การทำบาปอย่างมหันต์เพราะความคิดว่า ตายแล้วสูญเป็นพวกที่ มีความประมาทในชีวิตอย่างน่าสงสาร แต่ก็ยังไม่น่าสงสารเท่าผู้ที่เชิ่อในการทำบาปด้วยเชื่อว่า บาปนั้นเป็นความดีเป็นความบริสุทธิ์ เป็นสิ่งที่พระเจ้าต้องการ เมื่อตายแล้ว พระเจ้าก็ให้อภัย เพราะที่ทำไปแล้วนั้น เป็นพระประสงค์ของพระเจ้า คนเหล่านี้ เป็นผู้มีศรัทธา  แต่หลงผิด พวกเขาน่าจะคิดได้ว่า ความเชื่อที่รับรู้มานั้นไม่ถูกต้อง เพราะไม่มีพระเจ้าพระองค์ใด อยากให้มนุษย์ทำความชั่วและเบียดเบียนผู้อื่น เพียงแต่ คำสอนนั้นได้ถูกบิดเบือนไปอย่างแน่นอน
       ในยุคสมัยที่ความเจริญทางด้านวัตถุแผ่ออกไปอย่างไร้ขีดจำกัด และไม่มีพรมแดน แนวคิดแบบอุจเฉททิฏฐิ แผ่ขยายอิทธิพลครอบงำมวลชนได้อย่างเด่นชัด  ทั้งนี้ก็เพราะว่า แนวคิดเช่นนี้มีความแนบสนิทกันเป็นอย่างมากกับลัทธิวัตถุนิยมที่ทำให้หลงผิดคิดว่า ชีวิตนี้ก็มีเพียงโลกนี้เท่านั้น ไม่มีภพชาติ ไม่มีบาปบุญ ไม่มีนรก สวรรค์ เมื่อตายไปแล้วทุกอย่างก็จบสิ้นเพียงชาตินี้เท่านั้น ฉะนั้น ผู้คนที่มี มิจฉาทิฏฐิทั้งหลาย จึงพากันเสพ ดื่ม กิน เพื่อความสุขสำราญทางกามคุณกันอย่างเต็มที่ ในขณะที่มีชีวิตอยู่
      แต่พระพุทธศาสนาเห็นว่า ความเชื่อเช่นนี้เป็นมิจฉาทิฏฐิ และได้แสดงทัศนะยืนยันในเรื่องชีวิตหลังความตายไว้อย่างชัดเจนว่า ตายแล้ว ไม่ขาดสูญ มีความเชื่อมโยง สืบต่อแห่งสายธารของชีวิตที่เป็นไปตามอำนาจของอวิชชาและตัณหา ซึ่งเป็นปัจจัยขับเคลื่อน และประกอบพร้อมไปด้วยกรรมที่ตนได้กระทำไว้ ที่จะนำพา วิญญาณไปสู่ภพ ภูมิต่าง ๆ อย่างไม่มีวันสิ้นสุดในวัฏสงสาร จนกว่าจะสิ้นกรรมอันเป็นตัวจำแนกสัตว์ หรือได้บรรลุพระโพธิญาณหมดสิ้นกิเลสการเวียนว่านตายเกิดแล้ว  สงสารวัฏจึงจะสิ้นสุด
     พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า อวิชชาและตัณหา เป็นปัจจัยสำคัญที่จะทำให้สัตว์หรือมนุษย์ตายแล้วต้องเกิดอีก  อวิชชาสนับสนุนการปฏิสนธิวิญญาณให้เกิดขึ้นและเวียนว่ายตายเกิดในสงสารวัฏ โดยกำหนดเบื้องต้นและเบื้องปลายไม่ได้ กระบวนการเกิดใหม่ของมนุษย์ในแต่ละครั้งนั้นเปรียบเหมือนการปลูกพืช คือ ตราบใดที่ กรรม วิญญาณ ตัณหา และอวิชชายังมีอยู่ ตราบนั้นการเวียนว่ายตายเกิดจะมีอย่างไม่สิ้นสุด เพราะว่า ปัจจัยเหล่านี้เป็นตัวขับเคลื่อนให้มนุษย์เกิดใหม่ในภพภูมิ อื่นๆอย่างไม่มีวันสิ้นสุด
     "อาตมาบูชาคำกล่าวเปรียบเทียบของพระพุทธเจ้าที่ทรงตรัสว่า  กรรมจึงได้ชื่อว่าเป็นไร่นา วิญญาณ เป็นพืช ตัณหาเป็นยางเหนียว วิญญาณดำรงมั่นอยู่ได้ เพราะธาตุอย่างหยาบ...เพราะธาตุอย่างกลาง...เพราะธาตุอย่างประณีตของสัตว์ทั้งหลายที่มีอวิชชาเป็นเครื่องปิดกั้น มีตัณหาเป็นเครื่องผูกใจ การเกิดในภพใหม่จึงมีต่อไป"
     บทสวดมนต์ที่เตือนใจเราได้ดี สมควรที่จะท่องจำไว้ให้ได้ก็คือ
   " สัตว์ทั้งหลายเกิดมาเป็นผู้มีกรรมเป็นของของตน เป็นผู้รับผลของกรรมนั้น มีกรรมเป็นกำเนิด มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย หากทำกรรมใดไว้ จะเป็นกรรมดีหรือกรรมชั่วก็ตาม ย่อมเป็นผู้รับผลของกรรมนั้น"
    ผู้ใดที่รู้ประจักษ์แล้ว ซึ่งราคะ โทสะ โมหะ และกระทำ วิชชา ให้เกิดขึ้นอยู่เท่านั้นจึงจะละ ทุคติได้  จึงย่อมเกิดสัมมาทิฏฐิ และย่อมเข้าใจ ในปฏิจจสมุปบาท คือ กระบวนการนี้สิ่งทั้งหลายจะเกิดขึ้น   เป็นอยู่ ดับไป  อันเป็นห่วงโซ่แห่งความสัมพันธ์  ของวัฏฏะแห่งกิเลส  กรรม  และวิบาก ในวัฏสงสาร
     สำหรับ ประเด็นที่ 2 ในเรื่องของ สูญญตาและนิพพานนั้น  พระพุทธองค์ก็ไม่ทรงตอบอัพยากตปัญหา  คือปัญหาที่ไม่สามารถจะพิสูจน์ได้ด้วยประสบการณ์ของมนุษย์   เพราะไม่นำไปสู่ความสิ้นทุกข์และไม่มีผลในทางปฏิบัติสำหรับชีวิตจริง  เป็นปัญหาที่อธิบายแล้วคนไม่อาจจะมองเห็น พระองค์จึงตรัสว่า ปัญหานี้ไม่สมควรนำมาถกเถียงกัน
     " ผู้ที่ไม่เชื่อเรื่องกรรม ภพชาติ และการทำความดี  น่าจะใช้สติปัญญาตรองดู ให้ถ่องแท้ มิฉะนั้น เมื่อตายไปแล้วจะต้องตกไปสู่อบายภูมิ ไม่ผุดไม่เกิด ไปอีกชั่วกัปชั่วกัลป์ ช่างน่าสงสารเป็นที่สุด"
ขอบคุณบทความจาก..ปรียาลักษณ์ โทณะวณิก -จริยา สมุลไพร
ธรรมจาริกแดนหมีขาว
ภาพจากกูเกิล
................

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น