คนสู้ชีวิต |
ลาว เขมร เวียดนาม แรงงานต่างด้าว ฉันคือหนึ่งในนั้น จะมีสักกี่คนที่โชคดีแบบฉันนะ
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ข้าพเจ้าเป็นแรงงานต่างด้าวแบบหลบหนีเข้าเมือง มาอาศัยเมืองไทยแบบไม่มีเอกสารใดๆ ทั้งสิ้น เคยลักเล็กโขมยน้อยเพื่อความเป็นอยู่ เป็นเด็กขายดอกไม้ตามริมท้องถนน คอยหลบตามป้ายรถเมล์เวลาเจอตำรวจ เคยเป็นเพื่อนกับเด็กขอทานทั้งนั่งแถวสะพานลอย เวลาใครถามทำไมไม่ไปโรงเรียน ก็เนียนๆ บอกเรียน กศน. ทั้งๆ ที่ความจริงโรงเรียนฉันก็ไม่เคยได้เข้า !!!! แต่เชื่อมั้ยว่าความบากบั่นเท่านั้นที่จะนำเราไปถึงหลักชัย
ขอเริ่มจากตรงนี้นะคะ...
พ่อแม่ข้าพเจ้าเป็นคนยากจนในประเทศที่สุดแสนจะยากจน เร่ร่อนไปเรื่อยจนมาเจอเมืองไทย ทำงานตามร้านอาหาร เลี้ยงเด็กอ่อน อยู่กับกลุ่มมิจฉาชีพประปราย ทำทุกอย่างเพื่อหาเงิน เงิน เงิน (ครั้งแรกแม่เล่าให้ฟังว่าอยู่บ้านไม้ย่านนนทบุรี ราคาเดือนละร้อยสองร้อย ก็จำไม่ได้)
พ่อข้าพเจ้ามาก่อน หลบมาทางป่าจากฝั่งเขมรกับเพื่อนร่วมชะตาอีกสามคน (ปัจจุบันทุกคนถึงแก่กรรม รวมถึงพ่อข้าพเจ้า) ชายวัยสามสิบ สามคน มาถึงจังหวัดฉะเชิงเทรา โดยการนำพาของนายหน้า มีการเสียเงินนิดหน่อย เดินเลาะพอเป็นพิธี ก็เข้าถึงแผ่นดินไทย
แม่เล่าให้ฟังว่าช่วงแรกไม่มีที่อยู่ พ่ออาศัยอาบน้ำตามตลาด รับแบกหามเป็นกรรมกร นอนตามสะพานลอย ซื้อข้าวเหลือจากแผงลอยตอนเขาเลิกขาย บางครั้งซื้อมาม่าดิบ เก็บไว้กิน พอมีเงินเก็บได้พอเป็นค่านายหน้า เช่าห้องไม้เล็กอยู่ หุ้นกะเพื่อนที่มา เงินพอเหลือให้นายหน้าพาแม่ข้าพเจ้ามา (ที่ต้องมาเพราะแม่ข้าพเจ้าไม่สามารถอยู่ที่ประเทศกัมพูชาได้ เนื่องจากเหตุการณ์สงครามช่วงปี 1990 - 1992 ถ้าจำไม่ผิด)
อยู่กันสองสามีภรรยาจนพอมีเงินเก็บ คิดว่าชีวิตเราคงรอดแล้วจึงมีการนำลูกสาวมา (ที่ต้องมาเพราะไม่มีคนดูแล ยายข้าพเจ้าแก่มาก และพี่น้องของแม่ก็แต่งงานมีลูกเยอะ ไม่สามารถดูแลข้าพเจ้าและน้องสาวได้ ที่บ้านเรา ทำนาไร่ แม่จึงคิดว่าพาเรามาอยู่ด้วยดีกว่า และแน่นอนการมาของเราทั้งครอบครัวนั้น ไม่มีเอกสารใดๆ ใช้วิธีหลบหนีเท่านั้นจ้า เพราะอะไรน่ะหรือ เพราะประเทศเราเป็นคอมมิวนิสต์ เราไม่สามารถทำเอกสารเดินทางได้ หากเราไม่เงินหรือทรัพย์สินที่จะทำให้รัฐเชื่อว่าเรามีความสามารถที่จะออกนอกประเทศได้ แน่ละฉันมาเพื่อหางานย่อมผิดตามหลักกฎหมาย แต่ปัจจุบันง่ายละ เพราะกฎหมายเริ่มหยวนๆ กัน หากไม่มีหนี้สินที่ติดรัฐ จะไปไหนก็ไม่มีใครห้าม)
เมื่อตอนข้าพเจ้าเป็นเด็ก มาเมืองไทยตอนประมาณ 5 - 6 ขวบ อาศัยความเป็นเด็ก เนียนๆ เล่นกะเด็กห้องข้างๆ ไปๆ มาๆ พอสื่อสารได้ ช่วงนั้นจำได้ ที่พักมีพี่นักศึกษาพักหอใกล้ๆ เย็นๆ มีลงมาช่วยสอนให้อ่าน ก-ฮ แม่ ข้าพเจ้าแรก ๆ ก็กลัว กลัวเขารู้ว่าเราเป็นต่างด้าวแล้วแจ้งตำรวจ แต่คนไทยใจดีและมีน้ำใจกว่านั้นนะเออ ไม่มีใครทำแบบนั้นสักคน จำได้ ป้าๆ ขายข้าวแกงยังให้ขนมบ่อย ๆ ตอนไปเล่นกะลูกเขา มีการให้หนังสือเด็กที่ใช้แล้ว น้ำใจที่เขาหยิบยื่นให้ ข้าพเจ้าก็ไม่เคยลืมนะเออ มีทุกวันนี้ได้เพราะสิ่งที่ป้าๆ ยื่นให้ (มีคำถามทิ้งไว้แล้วจะมาตอบต่อ) ช่วงนี้ถ้าจำไม่ผิดเราย้ายไปอยู่แถวคลองตัน
วันเวลาผ่านไป 2-3 ปี ข้าพเจ้าสื่อสารภาษาไทยได้แบบไทยจริงๆ ไทยแท้ สำเนียงไม่มีตกหล่น เว้าได้ทั้งเหนือ อิสาน กลาง (แน่ล่ะ อยู่กะป้าขายส้มตำยันข้าวแกงปักษ์ใต้ )
พ่อของข้าพเจ้าเริ่มติดเหล้า เงินทองอันน้อยนิดที่หาได้เริ่มไม่พอ แม่ ข้าพเจ้าก็พาไปขายดอกไม้ตอนกลางคืน ตามร้านอาหาร RCA หน้า เซ็นทรัลเวิลด์ ถนนข้าวสาร (มีคนสอนให้พูดคำว่า เต็น(เท็น) ทเวนตี้ วันฮันเดร็ด ก็ตอนนี้แหละ ปลื้มสุด จำได้บอกฉันพูดภาษาที่สาม 5 5 5 เจอพวกผมทองตัวใหญ่ๆ ขาวๆ ให้รีบวิ่งเข้า เพราะฝรั่งอ่ะรวย แถมซื้อง่าย บางทีให้เงินแบบไม่เอาของ อันนี้เด็กเก่าบอกเด็กใหม่ ไปๆ มาๆ มีเด็กแอบขโมยของเยอะขึ้น กลายเป็นว่าช่วงหลังบางร้านห้ามคนขายดอกไม้เข้า (เด็กยุคใหม่ที่ยืนขายตอนนี้ทำมาหากินยากน่าดู) เรียกได้ว่าเป็นเด็กที่ได้เข้าผับเร็วสุด ๆ
แต่ใช่ว่าอาชีพเราจะทำคนเดียว ไปๆ มาๆ มีเพื่อนจาก พม่า เขมร ลาว เวียดนาม (ยุคนั้นฟิลิปปินส์ยังไม่เข้า แต่ก็ถือว่าอินเตอร์เนชั่นแนลเลยทีเดียว) รายได้คืนละ 200 - 300 บาท หักทุน ถือว่าเป็นที่น่าพอใจ
ตื่น 6 โมงเย็น อาบน้ำแต่งตัว แม่พาไปขายดอกไม้ แม่จะหลบอยู่หลังร้านอาหาร ข้าพเจ้ากะเพื่อนร่วมงาน (เด็กขายดอกไม้) จะไปด้วยกันประมาณ 4-5 คน ดอกไม้ หมากฝรั่ง ยืนตื๊อ บอกเรื่องราวแบบน่าสงสาร เช่น มีน้องอีกสามคนที่บ้าน ยังไม่ได้กินข้าว ไม่มีตังค์ไปโรงเรียน ยากจนโน่นนี่นั่น ขายไปเรื่อยๆ พอดูเวลา 1 ชั่วโมงให้รีบกลับมาหาแม่ที่จุดนัดพบ ถ้าเด็กคนไหนหายไปสักสองชั่วโมง เป็นอันรู้กันว่าถูกตำรวจจับ หรือเดินหลง (ซึ่งก็จะมีเจ้าถิ่นหาให้ หรือตำรวจมาเก็บเงินกับคนเป็นแม่)
ขายดอกไม้ใช่ว่าง่ายนะคะ ต้องคอยหลบพวกการ์ด สาวบาร์ เพราะเขาไม่ให้เข้าไปในร้าน ทีนี้เราก็ลอดไปทางหลังครัว ซอกแซก บางวันมีอาหารให้กินด้วยนะเออ อ่ะ พอสักตีสาม ตีสี่เราก็จะเรียกตุ๊กๆ ไปปากคลองตลาด แม่ๆ ทั้งหลายก็ไปซื้อดอกไม้ กระดาษ สำหรับทำของ ส่วนหนูๆ อย่างเราก็ไปยืนรอ ประมาณหกโมงก็กลับบ้านนอน ห้ามออกไปข้างนอกจนกว่าสามโมงเย็น (เพราะเด็กปกติจะอยู่ในโรงเรียนจนถึงสามโมงเย็น โรงเรียนเลิกเราค่อยออกมา เลี่ยงการตอบคำถาม ทำไมไม่ไปโรงเรียน)
ข้าพเจ้ารักแม่ที่สุดในชีวิตก็ต้องเป็นช่วงนี้แหละ เพราะแม่ต้องคอยดูแลน้อง อายุห่างจากข้าพเจ้าสี่ปี ต้องดูแลพ่อ(ขี้เมา) ต้องทำดอกไม้ให้ข้าพเจ้า ให้ ข้าพเจ้าไปขาย ครั้งแรกทำไม่เป็น ถามใครก็ไม่มีใครสอน แม่ข้าพเจ้าเลยไปหยิบดอกที่เขาทำแล้วไม่สวยมาจากถังขยะ มาแกะและทำใหม่ จนรู้วิธีแล้วหาทุนสี่ร้อย ไปซื้อดอกไม้มาทำขาย อย่าคิดว่า แม่ข้าพเจ้าจะสบายรอลูกไปขายดอกไม้อย่างเดียวนะ หากคืนไหนที่แม่ข้าพเจ้าต้องรอข้าพเจ้าไปขาย แม่ก็ต้องนอนหลบแถวสะพานมืดๆ บางวันอดเพื่อให้ข้าพเจ้าได้กินอิ่ม มีครั้งหนึ่งข้าพเจ้าขายดอกไม้ได้ 30 บาท น้องและข้าพเจ้าก็หิวมากกกกก แม่ควักเอาเงินนั้นไปซื้อข้าวผัดมากล่องนึง ให้เราสองคนกิน พอถามแม่กินมั้ย แม่บอกกินเถอะแม่อิ่มแล้ว สักพักเห็นแม่ไปกินน้ำประปาที่ก๊อก เป็นสิ่งที่ ข้าพเจ้าไม่มีวันลืมเลย
แม่นอนวันละแค่สองชั่วโมงเกือบทุกวัน เพราะกลางวันรับจ้างรีดผ้า ทำดอกไม้ ทำกับข้าว จนถึงหกโมงพาข้าพเจ้าไปขายของ แล้วค่อยอาศัยนอนตอนนั้นแทน เชื่อเลยล่ะรักใครก็ใหญ่ไม่เท่ารักของแม่
ชีวิตเราวนไปวนมาแบบนี้ จนข้าพเจ้าอายุ 10-11 ขวบ (จำไม่ได้เพราะนานมากแล้ว) . . . . เหตุการณ์บางอย่างก็เกิดขึ้น เป็นจุดเปลี่ยนชีวิตข้าพเจ้าเลย . . .
จากการเป็นเด็กขายดอกไม้ หมากฝรั่ง มาหนึ่งปี ด้วยความเป็นเด็ก ข้าพเจ้าไม่เคยตระหนักถึงความอันตรายที่อยู่รอบตัวเองเลย จนกระทั่งวันหนึ่ง เพื่อนชาวเวียดนามที่ขายดอกไม้ด้วยกันได้หายตัวไป . . . ขอเรียกเธอว่า เปรียว เปรียวอายุประมาณ 14 ปี จำได้ว่าเหมือนเธอจะสวย สูง ขาว ผมยาว หน้าตาน่ารัก หลายครั้งที่ไปขายของด้วยกัน เปรียวจะขายได้ค่อนข้างเยอะ ด้วยความว่าสวยหวาน พอๆ กับดอกไม้ (มั้ง อันนี้แม่บอก)
คืนนั้น ข้าพเจ้าและเปรียว พร้อมกับเพื่อนอีกสองคนก็เดินขายกัน โดยแยกไปคนละร้าน คนละบาร์ เพื่อที่จะไม่แย่งลูกค้ากัน แต่พอออกมา รอแล้วรออีก ข้าพเจ้าและเพื่อนๆ ก็ไม่เจอเปรียวสักที ผ่านไปจนถึงเวลานัดเจอแม่ๆ ข้าพเจ้าและเพื่อนก็คิดว่าเปรียวคงกลับไปหาแม่เธอแล้ว แต่ในความเป็นจริงคือ ไม่มี ! เปรียวหายไป หายไปแบบไร้ร่องรอย คืนนั้นข้าพเจ้าและคนส่วนที่เหลือเริ่มออกมาตามหาเปรียว หาถึงเช้าก็ต้องแยกย้ายกันกลับ เพราะไม่มีใครอยากเสี่ยงเจอตำรวจ เพราะอาจโดนเก็บเงิน หรืออาจถูกส่งตัวไปโรงพักจากนั้นถูกส่งไปบ้านเกิด ชีวิตใครๆ ก็รัก ดังนั้นไม่มีการตามหา หลายคืนผ่านไป การหาตัวเปรียวก็ไม่ประสบความสำเร็จ นายหน้าที่พาเปรียวมาก็แจ้งไปทางพ่อแม่ของเปรียวที่บ้านว่าเปรียวหลงหายไปซึ่งไม่รู้ชะตากรรมเป็นเช่นไร
ที่ข้าพเจ้าเขียนคำว่านายหน้า เพราะพ่อแม่ของเปรียวติดหนี้ ไม่มีเงินจ่าย เลยต้องส่งตัวลูกสาวมาทำงานให้นายหน้าใช้หนี้แทน ซึ่งนายหน้าพวกนี้ก็จะใช้งานเด็กหลายอย่าง เช่น ขายดอกไม้ ส่งยา ดูบ่อน ขอทาน ก็แล้วแต่ว่าอายุและหน้าตาพอจะทำอะไรได้ ที่สร้างเงินให้เขาได้ เขาก็เอาทั้งนั้น
เหมือนหนังใช่มั้ยคะ?
แต่ความเป็นจริงชีวิตของพวกเขาโหดร้ายกว่านั้นเยอะค่ะ หลังจากสิ่งที่เกิดขึ้นกับเปรียว แม่ของข้าพเจ้าเริ่มเกิดความกังวลและเป็นห่วง เราสามคน แม่ ข้าพเจ้า น้องสาว (ส่วนพ่อช่วงนี้อยู่กับขวดเหล้าและบ่อน) ก็วางแผนหางานใหม่ทำ เพราะ 1.ข้าพเจ้าเริ่มเป็นสาว เดินขายดอกไม้ เจอแต่คนเมานั้นไม่ดี (จริงๆ ก็ไม่ดีตั้งแต่แรกอ่ะนะ แต่ตัวเลือกครอบครัวเรามันน้อย ) 2.เสี่ยงต่อการโดนจับ และหากถูกส่งกลับประเทศอ่ะ เรื่องใหญ่ๆ เผลอ ๆ ไม่มีสิทธิ์มา
ทีนี้แม่ของข้าพเจ้าก็เริ่มทำงานในบ่อน บ่อนคนบ้านเดียวกันและคนไทย ตามสลัมนี่แหละค่ะ ชีวิตมันต้องเถื่อนและดิบ แม่เริ่มทำอาหารขายในบ่อน (ผีพนันชอบขี้เกียจ) รับจ้างซื้อของใช้จุกจิก บางทีแม่ไปกะบ่อนหลายๆ วัน ทิ้งเงินใว้ให้ข้าพเจ้าและน้องกินสักสองร้อยบาท แค่นี้ก็อยู่ได้เป็นอาทิตย์ ช่วงไหนแม่โดนตำรวจจับในบ่อน คนบ้านเดียวกันก็จะแวะมาเอาเงินให้ยืม แล้วรอเจ้าบ่อนประกันตัวแม่ออก (ส่วนมากไม่โดนเพราะทุกอย่างคือเรื่องของเงิน ถึงโดนก็ไถ่ออกได้ในนามบ่อน)
สิ่งหนึ่งที่แม่มักสอนเสมอและบอกว่า แม่ยอมลำบากทุกอย่าง ขอแค่ข้าพเจ้าและน้องไม่ไปพัวพันกับยาเสพติด การพนัน และเป็นนักลัก(ทรัพย์)แบบคนรอบตัวเราที่ทำ
ดังนั้นมีบางครั้ง บ้านเราโดนตัดไฟ(หลายเดือน) ตัดน้ำ(บางเดือน) อดมื้อกินมื้อ แต่เรามีกันและกัน มีคนที่ไว้วางใจ มันก็ทำให้เราอบอุ่นใจถูกมั้ยคะ มีครั้งนึงเรานั่งกินข้าวกัน จุดเทียน ห้องข้างๆ เปิดทีวี พัดลม มีไฟฟ้าให้ใช้ ไม่ต้องไปอาบน้ำในตลาด หรือห้องเพื่อนบ้าน คุณเชื่อมั้ยว่านั่นคือสิ่งที่ข้าพเจ้าไฝ่ฝัน -_- ตามจริงไม่เว่อร์เลยนะ บ้านเราอาบน้ำ สองวันครั้ง ข้าพเจ้าไปกดน้ำลิตร รอเอาน้ำฝนมาอาบ เพราะเราไม่มีตังค์จ่ายค่าห้องจริง ๆ เรายืมใครไม่ได้ เพราะไม่มีใครให้เรายืม ชีวิตเรารันทด แต่เราก็อยู่แบบมีความสุขของเรา โดยไม่เอาชีวิตไปเสี่ยงต่อคุกมากกว่าที่เป็นอยู่
วันนึงข้าพเจ้าตั้งจิตภาวนาแบบนี้ค่ะ ถ้าโลกนี้มีพระเจ้า จะเป็นองค์ไหน ศาสนาไหนก็แล้วแต่ หนูจะบอกว่า หนูขอให้ได้มีโอกาสเรียนหนังสือ หนูขอให้บ้านมีไฟฟ้าใช้ หนูขอให้ได้อาบน้ำวันละสองครั้ง เพราะหนูตัวเหม็นมาก และที่สำคัญหนูขอให้ตัวเองได้มีงานทำ มีอนาคตดีๆ หนูไม่อยากอยู่ในห้องสี่เหลี่ยมอีกต่อไป...คุณรู้มั้ยพระเจ้าตอบจริงนะเออ ชีวิตเปลี่ยนแบบไม่มีเวทมนต์ แต่เปลี่ยนด้วยความมานะและอดทน
เมื่อแม่ข้าพเจ้าได้ทำงานในบ่อนมาระยะหนึ่ง โดนจับหลายต่อหลายครั้ง สุดท้ายเราตัดสินใจออกมาค้าขาย เงินเราไม่มีนะคะ จินตนาการเราขายทีวี สินค้าที่ไม่ได้ใช้และดูเหมือนมีค่าที่สุดในบ้าน (จำได้ยี่ห้อ ger อะไรสักอย่าง เล็ก) ได้ราคา 400 บาท เคาะตามตู้โทรได้อีกเกือบร้อยบาท และเงินในกระเป๋าที่ทั้งสามแม่ลูกมีอีกประมาณ 500 บาท เอาเงินทั้งหมดไปลงสำเพ็งค่ะ ใช่ค่ะ แม่และข้าพเจ้าไปสำเพ็งซื้อกิ๊ปแผง หนังยางแบบโลๆ แปรงสีฟันยกแผง และหวีแบบโหลๆ ซื้อมาแบ่งขาย เทหมดตักประมาณ 700 บาท เหลือนิดหน่อยพอค่ารถกลับบ้าน
อ่อ.. บอกนิดนึง ตอนนั้นเขามียุคทำบัตรต่างด้าว ครั้งแรกเนี่ยไม่ต้องมีนายจ้างก็ทำได้เลย แม่ข้าพเจ้ายอมควักเนื้อ แบบทำงานหนักสุดๆ เพื่อเก็บเงิน 5000 บาท มาทำบัตรต่างด้าว พร้อมจ้างคนมารับรองว่าเป็นนายจ้าง ตอนนั้นลงหน้าบัตร ค้าขาย เราไม่ใช่กัมพูชานะจ๊ะ แต่แม่และข้าพเจ้าพูด กัมพูชาได้ เพราะเคยอพยพไปอยู่ เราเลยแอบอ้างไป เพราะไม่มีการสอบสัญชาติและมีนายจ้างรับรองเหมือนตอนนี้ แต่ต่อครั้งที่สามเนี่ยทำไม่ได้ เพราะมีการพิสูจน์ว่าต้องเป็นเฉพาะ 3 ประเทศเพื่อนบ้านเท่านั้นที่ทำได้ ซึ่ง ครอบครัวข้าพเจ้าไม่ใช่หนึ่งในนั้น อ่ะๆ อยากรู้อ่ะจิ ว่าเราเป็นอะไร งั้นทายไปๆ เดี๋ยวจะบอกตอนจบ ใบ้ให้ไม่ใช่ ไทย ลาว เขมร และไม่ใช่พม่า
ครั้งแรกไปแย่งที่ขายตามตลาดนัด ปกติเขาจะมีเจ้าประจำ ข้าพเจ้าก็รอ รอ รอ จนมีคนมายืนยันว่าตรงนี้ว่าง เราก็ไปขาย ปูผ้าพลาสติกผืนนึง เทของรวมๆ กัน ทุกอย่าง 20 บาท 2 อย่าง 30 บาท วันแรกขายได้ 150 จำได้ว่าน้องสาว ข้าพเจ้ารีบไปซื้อสเลอปี้ใน 7/11 กินฉลอง 5 5 5 มีความสุขมากค่ะ ครั้งแรกในปีที่ได้ออกมากลางวัน นั่งขายของทำเนียนเหมือนเราเป็นคนไทย...
แต่รายจ่ายเราเยอะค่ะ เยอะมาก สามชีวิตที่ต้องกิน ต้องใช้ ขายยังไงก็ไม่พอ ข้าพเจ้าตัดสินใจไปสมัครงาน เรียกว่ากล้าสุดๆ วุฒิไม่มี อาศัยรู้ภาษาไทย อ่านออก เขียนได้
ณ ตอนนี้ ข้าพเจ้าอายุ 15 ปี บริบูรณ์...
ทีนี้ทำงานอะไรดีล่ะ ? เป็นเด็กขายของหน้าร้าน ? ไม่ได้ เพราะเขาต้องการให้เป็นเด็กอยู่เฝ้าร้าน แต่แม่ข้าพเจ้าต้องการให้กลับบ้านตอนเย็น เป็นคนเลี้ยงเด็ก ? ก็ไม่ได้ หน้าเด็กน้อยแบบนี้ใครจะมาเชื่อใจเราให้ดูแลลูกเขา
ร้านอาหารละกัน ? ไม่ใช่ไม่ดีนะ แต่ร้านใหญ่ตอนนั้นรับคนไทย เด็กฝึกงานง่ายกว่ารับต่างชาติ ตำรวจรู้อ่ะยุ่ง ร้านที่รับก็ไม่ไหว เห็นแล้วละเหี่ยใจ จะให้ไปนั่งกะแขก ใครจะไป ถูกมั้ย ?
ไปๆ มาๆ ได้งานออฟฟิศ เป็น GB เจนเนรัล เบ๊ ทำตั้งแต่กวาดบ้าน ป้อนอาหารหมา ส่งเอกสาร ยันผู้ช่วย เงินเดือนเยอะว้าก 3,000
บทสนทนาตอนสมัครงาน จำได้จนขึ้นใจ...
นายจ้าง : บอกความสามารถเรามาซิ Excel Word PPW อะไรแบบนี้ทำได้มั้ย
ข้าพเจ้า: สตั๊นไปสามวิ...หนูไม่รู้ว่าที่พี่พูดถึงมันคืออะไร แต่หนูพร้อม และไวในการเรียนรู้ค่ะ
นายจ้าง: งั้นบอกมาซิ ทำไมพี่ต้องจ้างเรา ดูๆ แล้ว เราไม่รู้เรื่อง สนง. แถมเป็นแรงงานเถื่อนด้วยนะ (โหยยย.. แรง ฟังแล้วเจ็บจี้ดๆ)
ข้าพเจ้า: เพราะพี่สามารถประหยัดค่าใช้จ่าย หนูเรียกเงินเดือนถูก หนูพร้อมทำงานดึก หนูไม่เกี่ยงงาน และหนูพร้อมที่จะเรียนรู้ หนูยอมให้พี่ทดสอบ สามวัน ถ้าไม่ผ่าน หนูเข้าใจค่ะ แต่หนูขอโอกาส (พร้อมทำตาปริบ ๆ)
ไม่รู้ว่าเขาเมา หรือข้าพเจ้าตาหวานพอ สุดท้ายเขารับค่ะ กลับบ้านบอกแม่ด้วยความภาคภูมิใจ "แม่..หนูได้งาน เป็นงานสำนักงานนนนน" บ้านอยู่ไกลจากที่ทำงานมากค่ะ ย้ำว่ามากกกกก... นั่งรถเมล์ ต่อรถตู้ วันไหนมีเวลาก็รอรถเมล์ เพราะมันถูก
เมื่อเขาจ่ายเงินเดือนเราแค่ 3,000 ข้าพเจ้าต้องใช้ไม่เกินวันละ 80 บาท 80 x 30 = 2,400 สิ้นเดือนมีเงินเก็บ 600 ถือว่ากำไรสุดๆ
เช้าตื่นมานั่งรถเมล์สีแดง 4 บาท สีขาวฟ้า 5 บาท พักเที่ยงกินนมกล่องถั่วเหลือง 15 บาท กล่องใหญ่ยักษ์สีฟ้า...อิ่มยาวว กลับบ้าน กินข้าว ใช้ยังงั้ยยังไงก็ไม่หมด 80 บาท ประหยัดได้สักสามสี่วันค่อยมากินข้าวผัดหน้าออฟฟิศ 25 บาท กินที อิ่มใจ อิ่มท้อง มีความสุขสุด ให้ดีต้องเป็นผัดกุ้งทะเล 30 บาท อ่ะนะ
ชีวิตใช่ว่าจะราบรื่นอย่างละคร อยู่ดีๆ มีคนมาบอกช่วยให้น้องและข้าพเจ้าเข้าเรียน และสามารถเปลี่ยนสัญชาติได้ บ้านเราตาโต การได้สัญาติไทยคงเป็นพรสูงสุดในชีวิตนี้ ยอมอีกค่ะ เงินเดือน เงินทุน กำไร เอาทุกอย่างไปให้คนที่บอกว่าทำได้ พอเขาได้เงินเขาหายไป หายไป หายไป กับกลีบเมฆ เราสามคนกอดคอร้องไห้ สู้กันต่อไป
ช่วงระยะที่พูดถึงนี้ แม่ข้าพเจ้าเริ่มมีรายได้ดีขึ้นจากการขายของ เริ่มพัฒนามีการขายเสื้อผ้า รองเท้า ของเล่นเด็ก บ้านก็มีไฟฟ้าใช้แล้วถึงแม้อาจโดนตัดบ้างเป็นบางครั้งอ่ะนะ... ชีวิตเริ่มดีขึ้น ไม่มีบ่อน ไม่พัวพันกับพวกขายยา ติดพนัน แรงงานเด็ก วันๆ ทำงานกลับบ้าน มีแม่ มีน้อง โอ๊ย! ชีวิตมีความสุข วันไหนมีเงินเหลือเช่านิยายมาอ่านสักเล่ม ชีวิตนี่ฟินสุดๆ วันนั้น ไม่ต้องมีเงินขึ้น BTS ขอแค่นั่งรถเมล์แอร์ก็สุขใจแล้ว ไม่ต้องเข้าร้านอาหารญี่ปุ่นแพง แค่อาหารตามสั่ง 25 ก็ถือว่าเริ่ดแล้ว ไม่ต้องดูหนังโรงราคาหลักร้อย กลับบ้านมีไฟฟ้าให้เปิดพัดลม มีน้ำอาบ แค่นี้ยังหวังอะไรอีก??
แต่มนุษย์คือมนุษย์ เมื่อได้แล้วก็อยากได้อีก พระเจ้าเลยต้องสอนนิดหน่อย ให้นะ ให้ฟรี แต่ต้องเรียนรู้ถึงคุณค่าของสิ่งที่อยากได้ ตอนต่อไป เมื่อฉันอยากเรียนหนังสือ ไม่ต้องสูงหรอก ขอแค่ ป.6 ชีวิตก็สุขขีแล้ว...
หลังจากนั้นไม่นานพ่อของข้าพเจ้าก็เสียชีวิต ดื่มเหล้าเยอะเกินไปค่ะ และประสบอุบัติเหตุเส้นเลือดสมองแตก จากการจัดงานศพและความช่วยเหลือจากหลายๆ ท่าน ข้าพเจ้าและครอบครัวได้กลับภูมิลำเนา เพื่อทำหนังสือเดินทางเข้ามาอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ข้าพเจ้ามีความฝันว่าชั้นต้องได้เรียนและมีวุฒิบัตรเหมือนเด็กคนอื่น ๆ !! เราต้องเดินผ่านป่า เข้าเขมร จนทะลุออกเวียดนามทางใต้
หลังจากงานที่ออฟฟิศ และมีพาสปอร์ตของตัวเอง ข้าพเจ้าเริ่มมีความมั่นใจในการไปสมัครหลายๆ ที่ เช่นทำงานโรงงาน ร้านหนังสือ เด็กขายของตามบู๊ท ทำความสะอาดบ้าน เลี้ยงเด็ก ทำทุกอย่างที่เขาให้เราทำ จากเงินเดือน 3 พันบาท เพิ่มเป็น 5 พัน เขยิบมาถึง 7 พัน อายุตอนนั้นประมาณ 18 ซึ่งถือว่าเยอะมากสำหรับข้าพเจ้า
หลังจากได้พาสปอร์ตตอนอายุ 18 ข้าพเจ้าบึ่งไปสมัครเรียน กศน. ค่ะ
สมัครมาแล้วหลายเขต ไม่มีที่ไหนรับ สุดท้ายมีโอกาสได้เจอเขตหนึ่ง ซึ่งอาจารย์ใจดีน่ารัก ยอมรับเข้าเรียน วันแรกที่ใส่ชุดนักศึกษา (เข้าเรียนชั้นประถม) แม่ข้าพเจ้าดีใจมากกกกกกกกก เรียกได้ว่ายืนส่งจนลูกขึ้นรถเมล์กันไปเลย
ข้าพเจ้าตระหนักเสมอว่า การทำงานนั้นนอกเหนือจากวุฒิที่คุณมี คือคุณภาพในตัวของคุณ ข้าพเจ้าไม่เกี่ยงงาน จะเป็นงานจับหนอน กิ้งกือไส้เดือน เลี้ยงเด็ก คนแก่ ดูแลคนพิการ ทำหมด ขอแค่ไม่ผิดกฎหมาย ให้เรามีงานทำ มีคนให้โอกาสในการทำงาน คือพรอันประเสริฐแล้วค่ะ
หลายครั้งทำงานพลาดเขาด่าว่า ไม่เป็นไร ตั้งใจทำใหม่ ไม่ได้เดี๋ยวก็ได้
ข้าพเจ้ามีโอกาสได้ใกล้ชิดกับคนหลายรูปแบบ และในนั้นก็มีแต่เจ้านายที่น่ารัก และใจดี ให้โอกาส สอนงาน และให้ประสบการณ์
ข้าพเจ้าเริ่มหันมาเรียนภาษาอังกฤษเอง ใช่ค่ะ พูดผิด พูดถูก พูดๆ ไปเถอะ เอาให้เข้าใจเป็นพอ ประกาศหาเพื่อนแลกเปลี่ยนภาษา ข้าพเจ้าสอนภาษาไทย เวียดนาม (ใช่ค่ะ.. ข้าพเจ้าเป็นเวียดนาม ไม่ใช่กัมพูชาจ้า!) ให้เขาสอนอังกฤษ เรียนฟรี ไม่เสียตังค์
พอได้ภาษา ข้าพเจ้าก็ไปสมัครงานที่ต้องใช้ภาษาอังกฤษ เริ่มตั้งแต่ พนักงานต้อนรับ เซลล์ ผู้ช่วย จนไปถึงล่าม ภาษาไม่เป๊ะแบบคนที่เรียนมา แต่พอเข้าใจ ความสามารถมากขึ้น เพื่อความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ข้าพเจ้าก็เรียนภาคสุดสัปดาห์ และทำงานควบคู่กันไป
พอโตมาหน่อยก็มีเรื่องความรัก เศร้า ๆ ทุกข์ๆ ดิบๆ สุขๆ คละเคล้ากันไป แต่ถ้าคุณมีความรักที่อิ่มจากครอบครัวแล้ว คือเกราะป้องกันที่ดีที่สุด ข้าพเจ้าอกหัก รักคุดมาหลายครั้ง แต่เชื่อมั่นค่ะ ว่ารักแท้เกิดจากการรักตัวเอง (ไม่ใช่เห็นแก่ตัว) และรักคนอื่นให้เป็น ก่อนที่ขอให้เขามารักเรา
ปัจจุบัน ข้าพเจ้ายังเรียนไม่จบ (เริ่มเรียน กศน. ประถมตอน 18 คงจะจบโน่น 25 -26 ) แต่จะบอกว่าใครมองข้าพเจ้าเป็นโข่ง ข้าพเจ้าหาได้แคร์ไม่ 555 และตั้งเป้าด้วยว่าชั้นจะคว้าโท มาให้ได้
ข้าพเจ้าเรียน เพื่ออนาคตตัวเองและเพื่อคนที่ข้าพเจ้ารัก
ข้าพเจ้ามีความสุขกับงานที่ทำ ได้ภาษา ทักษะการต่อรองและที่สำคัญได้เจอคนหลายรูปแบบ
ข้าพเจ้าก้าวมาถึงจุดที่บอกว่า ขอบคุณพระเจ้าองค์นั้นที่ฟังหนู วันนี้หนูมีน้ำอาบ มีไฟฟ้าใช้ มีโอกาสได้เรียน มีงานทำและมีโอกาสที่จะเติบโต ได้ไปหลายๆ ที่ ไม่ได้อยู่ในกล่องสี่เหลี่ยมอย่างเดียว
และที่สำคัญได้อยู่อย่างถูกต้องตามกฎหมายเว้ยยยยยยยยยย เจอตำรวจไม่กลัวแล้ว หุหุหุ!!
เรามาถึงเนื้อหาที่สำคัญกันเถอะค่ะ
อยากจะฝากไว้ว่า อย่าเกี่ยงเงินน้อย อย่าคอยวาสนา นั้นจริงที่สุด คุณต้องทำมันเดี๋ยวนั้น
ทำเถอะถ้ามีงานให้ทำ เรียนเถอะ ถ้าคุณมีโอกาสเรียน จะช้า จะเร็ว คุณก็จบ หากคุณตั้งใจ
ที่สำคัญคือใจต้องสู้ ! ยิ้ม ถ้าคุณทำได้คุณจะภูมิใจในตัวเองมาก ๆ ฝันให้ไกล อาจไปไม่ถึง แต่การได้ก้าวออกมาจากจุดเริ่มต้น ก็นับว่ายิ่งใหญ่แล้ว
ข้าพเจ้าอยากให้ทุกคนที่มีลูกจ้าง พม่า กัมพูชา ลาว หรือเวียดนาม หากเด็กคนนั้นดูแล้วเป็นคนรักเรียน มีใจใฝ่รู้ อยากวอนที่จะให้โอกาสเขา เข้าเรียน กศน. ไม่มีค่าใช้จ่ายอะไรเลย ถึงมีก็น้อยนิด เทอมละไม่ถึงห้าร้อยบาท ! ขอแค่ให้เขามีวันหยุดวันอาทิตย์ เพื่อไปเรียน และต่างชาติสามารถเรียนได้ !
สิ่งสุดท้าย หากคุณมีโอกาส ขอให้เผื่อแผ่ไปให้คนที่เขาขาด ข้าพเจ้าคงไม่มีวันนี้ หากปราศจากน้ำใจของคนที่คอยสอนภาษาตั้งแต่ตอนเล็ก คงไม่มีวันนี้หากไม่มีโอกาสทำงาน และไม่มีวันนี้หากปราศจากน้ำใจของทุกคน ยิ้ม ขอบคุณประเทศไทย เมืองไทย คนไทย ขอบคุณในน้ำใจของทุกคนที่เผื่อมาให้ ขอบคุณในโอกาส และขอบคุณเวลาของคุณๆ ที่สอนงาน
ในรายละเอียดของการเป็นต่างชาติแรงงานในเมืองไทย มีรายละเอียดเยอะ หากใครมีคำถามให้ส่งมา ข้าพเจ้าตอบได้ จะตอบเป็นรายๆ ไปนะคะ เรื่องวีซ่า การเดินเอกสารขอเรียนสำหรับต่างด้าว ที่เกี่ยวกับต่างด้าว หากมีข้อสงสัยสามารถสอบถามได้ค่ะ ไม่คิดว่าจะยาวขนาดนี้ เพื่อไม่เป็นการยืดเยื้อจะตอบคำถามเป็นรายๆ ไปนะคะ (ยิ้ม) ขอบคุณที่ตามอ่านค่ะ.
*** เพื่อเป็นการไม่เข้าใจผิดนะคะ ข้าพเจ้าไม่ได้เขียนเพื่อสนับสนุน การเข้ามาแบบผิดกฎหมาย อย่างที่ข้าพเจ้าเคยเป็น ข้าพเจ้าเขียนเพื่อบอกเล่า เรื่องราว ประสบการณ์ และด้วยใจขอบคุณเมืองไทยที่ให้โอกาสในการศึกษาโดยไม่เกี่ยวสัญชาติ ข้าพเจ้าเชื่อว่า การศึกษาคือการให้โอกาส ให้แนวคิดและเป็นสิทธิ์ที่เด็กทุกคนควรได้รับ ไม่ว่าเขาจะมาจากไหน ให้การศึกษา เพื่อสร้างด็กคนหนึ่งให้เป็นคนคิดเป็น มีความรู้ ไม่บิดเบือน ไม่นำมาซึ่งความเดือดร้อน เพราะข้าพเจ้าเชื่อในเรื่องของการปลูกฝังเด็ก ให้เขาได้มีโอกาสสร้างอนาคตของตนเอง หากตรงไหนไม่ชัดเจน ข้าพเจ้าต้องขออภัยค่ะ ***
ที่มา: พันทิปดอทคอม
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น