วันเสาร์ที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2560

วันพฤหัสบดีที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2560

วันออกพรรษา

ความหมายของวันออกพรรษา

วันออกพรรษา เข้าพรรษา เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า "วันมหาปวารณา" คือ วันที่สิ้นสุดระยะการจำพรรษาของพระเป็นเวลา 3 เดือน หรือพูดง่ายๆ ว่า วันสุดท้ายที่ต้องอยู่จำพรรษาในแต่ละปี และพระสงฆ์จะต้องอยู่ให้ครบอีกหนึ่งราตรีจึงจะครบถ้วนบริบูรณ์ ในวันออกพรรษานี้พระสงฆ์จะประกอบพิธีทำสังฆกรรมใหญ่ เรียกว่า มหาปวารณา ถือเป็นการเปิดโอกาสให้ภิกษุว่ากล่าวตักเตือนกันด้วยจิตที่เมตตา เพราะในช่วงระหว่างเข้าพรรษา พระสงฆ์บางรูปอาจมีข้อบกพร่องที่ต้องแก้ไข และยังเปิดโอกาสให้ซักถามข้อสงสัยซึ่งกันและกันด้วย

วันเข้าพรรษาของประเทศไทย

ถือเป็นโอกาสอันดีที่พุทธศาสนิกชนจะเข้าวัดเพื่อบำเพ็ญกุศลแก่พระสงฆ์ที่ตั้งใจจำพรรษาและตั้งใจปฏิบัติธรรมมาตลอดจนครบไตรมาสพรรษากาลในวันออกพรรษา และวันถัดจากวันออกพรรษา 1 วัน ก็ได้มีการทำบุญตักบาตรครั้งใหญ่ เรียกว่า ตักบาตรเทโว หรือ ตักบาตรเทโวโรหณะ เพื่อรำลึกถึงเหตุการณ์สำคัญในพุทธประวัติ นอกจากนี้ ช่วงเวลาออกพรรษายังถือเป็นเวลากฐินกาลตามพระวินัยปิฎกเถรวาท เป็นช่วงเวลาที่พุทธศาสนิกชนชาวไทยจะเข้าร่วมบำเพ็ญกุศลเนื่องในงานกฐินประจำปีในวัดต่าง ๆ ด้วย โดยถือว่าเป็นงานบำเพ็ญกุศลที่ได้บุญกุศลมาก

ประวัติวันออกพรรษา

ในวันออกพรรษาในพระไตรปิฎกกล่าวไว้ว่า เป็นวันที่ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จลงจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์มายังโลกมนุษย์ หลังจากที่พระองค์ได้เสด็จไปจำพรรษา และแสดงพระธรรมเทศนาโปรดเทพบุตรพุทธมารดา ซึ่งอยู่สวรรค์ชั้นดุสิต แต่ลงมาฟังพระธรรมเทศนาที่ชั้นดาวดึงส์ ซึ่งวันออกพรรษาตรงกับวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือนสิบเอ็ด(๑๑) ถือเป็นวันสิ้นสุดการจำพรรษา หรือออกจากพรรษาที่ได้อธิษฐานเข้าจำพรรษาตลอดระยะเวลา 3 เดือน ซึ่งเป็นสำคัญวันหนึ่งของพระภิกษุสงฆ์

วันออกพรรษา หมายถึงวันที่พ้นจากข้อกำหนดทางพระวินัยที่ต้องอยู่ประจำที่หรือในวัดแห่งเดียวตลอด 3 เดือน ในฤดูฝน กล่าวคือ เมื่อพระภิกษุได้อธิษฐานอยู่จำพรรษาในวันแรม ๑ ค่ำ เดือนแปด (๘) แล้วอยู่ประจำที่หรือวัดนั้นเรื่อยไป จนสิ้นสุดในวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือนสิบเอ็ด(๑๑) หลังจากวันออกพรรษาแล้วก็สามารถจาริกไปค้างแรมที่อื่นได้ และวันออกพรรษา เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า "วันปวารณา" คือวันที่พระสงฆ์ทำปวารณากรรม โดยเปิดโอกาสให้เพื่อนพระภิกษุว่ากล่าวตักเตือนกันด้วยเมตตาจิตได้ เมื่อได้เห็นได้ทั้งหรือสงสัยในพฤติกรรมของกันและกัน

วันออกพรรษาหรือวันพระพุทธเจ้าเปิดโลกในวัน แรม ๑ ค่ำ เดือนสิบเอ็ด(๑๑) ของทุกปี เป็นวันคล้ายวันที่พระพุทธเจ้าเสด็จลงสู่โลกมนุษย์ เรียก "วันเทโวโรหณะ" และ วันพระพุทธเจ้าเปิดโลก เพราะวันนั้นโลกทั้ง 3 คือ สวรรค์ มนุษย์ และ บาดาล (นรก) ต่างสามารถแลเห็นกันได้ตลอดทั้ง 3โลก

ชาวพุทธจึงยึดถือปรากฎการณ์นี้ ต่างมารอรับตักบาตรภัตตาหารกันอย่างเนืองแน่น เพราะเมื่อถึงวันปวารณาออกพรรษา ในวันแรม ๑ ค่ำ เดือนสิบเอ็ด(๑๑) นี้พระพุทธองค์เสด็จลงสู่โลกมนุษย์ทางบันไดทิพย์ ทั้ง 3 ได้แก่ บันไดเงิน และ บันไดทอง และ บันไดแก้ว ซึ่งสักเทวราช (พระอินทร์) ให้พระวิษณุกรรมเนรมิตทอดจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์สู่โลกมนุษย์ ที่ ประตูเมืองสังกัสนคร หลังจากเทศนาพระอภิธรรมปิฎกโปรดพระพุทธมารดาอยู่หนึ่งพรรษา (3 เดือน) ซึ่งก่อนหน้านั้น พุทธองค์ได้จำพรรษาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ นับแต่ปีที่ตรัสรู้ ในพรรษาที่ 7

วันออกพรรษา เป็นวันสำคัญของพุทธศาสนา และหลังจากวันออกพรรษาพระสงฆ์ได้รับพระบรมพุทธานุญาตให้จาริกไปค้างแรมที่อื่นได้ เมื่อออกพรรษาแล้วพระสงฆ์จะได้นำความรู้จากหลักธรรมและประสบการณ์ที่ได้รับระหว่างพรรษาไปเผยแผ่แก่ประชาชน ซึ่งในวันออกพรรษาพระสงฆ์ได้ทำปวารณา เปิดโอกาสให้เพื่อนพระภิกษุว่ากล่าวตักเตือนเรื่องความประพฤติของตนเพื่อให้เกิดความบริสุทธิ์ ความเคารพนับถือและความสามัคคีกัน ทำให้พุทธศาสนิกชนได้นำแบบอย่างไปทำปวารณาเปิดโอกาสให้ผู้อื่นว่ากล่าว ตักเตือนตนเองเพื่อประโยชน์ต่อการพัฒนาตนและสร้างสรรค์สังคมต่อไป

วันออกพรรษาหรือวันพระพุทธเจ้าเปิดโลก

       ในพรรษาที่ 7 นับแต่ปีที่ตรัสรู้ พระพุทธองค์จึงได้เสด็จขึ้นไปจำพรรษาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เทศนาพระอภิธรรมปิฎกโปรดพระพุทธมารดาอยู่หนึ่งพรรษา (3เดือน) ครั้นถึงวันปวารณาออกพรรษา วันแรม 1 ค่ำ เดือน 11 พระพุทธองค์จึงเสด็จลงสู่โลกมนุษย์ทางบันไดทิพย์ ทั้ง 3 ได้แก่ บันไดเงิน และ บันไดทอง และ บันไดแก้ว ซึ่งสักกเทวราช (พระอินทร์) ให้พระวิษณุกรรมเนรมิตทอดจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์สู่โลกมนุษย์ ที่ ประตูเมืองสังกัสนคร ที่นั้นบรรดาพุทธศาสนิกชนต่างมารอรับตักบาตรภัตตาหารกันอย่างเนืองแน่นชาวพุทธจึงยึดถือปรากฎการณ์ในวัน แรม1 ค่ำ เดือน 11 ของทุกปี เป็นวันคล้ายวันที่พระพุทธเจ้าเสด็จลงสู่โลกมนุษย์ เรียก “วันเทโวโรหณะ” และ วันพระพุทธเจ้าเปิดโลก เพราะวันนั้นโลกทั้ง 3 คือ สวรรค์ มนุษย์ และ บาดาล (นรก) ต่างสามารถแลเห็นกันได้ตลอดทั้ง 3 โลก

ความสำคัญของวันออกพรรษา

วันออกพรรษา เป็นวันสำคัญของพุทธศาสนา ด้วยเหตุผลดังนี้ 

      1. หลังจากวันออกพรรษาพระสงฆ์ได้รับพระบรมพุทธานุญาตให้จาริกไปค้างแรมที่อื่นได้

      2. เมื่อออกพรรษาแล้วพระสงฆ์จะได้นำความรู้จากหลักธรรมและประสบการณ์ที่ได้รับระหว่างพรรษาไปเผยแผ่แก่ประชาชน

      3. ในวันออกพรรษาพระสงฆ์ได้ทำปวารณา เปิดโอกาสให้เพื่อนพระภิกษุว่ากล่าวตักเตือนเรื่องความประพฤติของตนเพื่อให้เกิดความบริสุทธิ์ ความเคารพนับถือและความสามัคคีกัน

      4. พุทธศาสนิกชนได้นำแบบอย่างไปทำปวารณาเปิดโอกาสให้ผู้อื่นว่ากล่าว ตักเตือนตนเองเพื่อประโยชน์ต่อการพัฒนาตนและสร้างสรรค์สังคมต่อไป

ประวัติความเป็นมาของวันออกพรรษา

     เมื่อพระพุทธเจ้าทรงประทับจำพรรษาอยู่ ณ พระเชตุวันมหาวิหาร กรุงสาวัตถี มีพระภิกษุเหล่านั้นเกรงจะเกิดการขัดแย้งกันจนอยู่ไม่สุขตลอดพรรษา จึงได้ตั้งกติกาว่าจะไม่พูดจากัน (มูควัตร)  เมื่อถึงวันออกพรรษาพระภิกษุเหล่านั้นก็พากันไปเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าที่พระเชตวันมหาวิหาร กราบทูลเรื่องทั้งหมดให้ทรงทราบ พระพุทธเจ้าทรงตำหนิ แล้วทรงมีพระบรมพุทธานุญาตให้พระภิกษุกระทำการปวารณาต่อกันว่า

     “ภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ภิกษุทั้งหลายผู้จำพรรษาแล้วปวารณากันในสามลักษณะ คือด้วยการเห็นก็ดี ด้วยการได้ยินก็ดี ด้วยการสงสัยก็ดี”

การถือปฏิบัติวันออกพรรษาในประเทศไทย

     วันออกพรรษาเป็นวันปวารณาของพระสงฆ์โดยตรง ที่จะต้องประชุมกันทำปวารณากรรมแทนอุโบสถกรรม สำหรับพุทธศาสนิกชนฝ่ายคฤหัสถ์ ก็ถือว่าเป็นวันพระสำคัญ มักนิยมไปทำทานรักษาศีลและฟังธรรมเป็นกรณีพิเศษ

     นอกจากนี้ ยังมีประเพณีเนื่องด้วยวันออกพรรษาอีกอย่างหนึ่งเรียกว่า “ประเพณีตักบาตรเทโว”

  คำว่า “ตักบาตรเทโว” มาจากคำเต็มว่า “ตักบาตรเทโวโรหณะ”  คือการตักบาตรเนื่องในโอกาสที่พระพุทธเจ้าเสด็จลงจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ซึ่งคัมภีร์อรรถกถาธรรมบทบันทึกไว้ว่า เมื่อพระพุทธเจ้าแสดงยมกปาฏิหาริย์ (ปาฏิหาริย์เป็นคู่ๆ) ที่ต้นมะม่วงใกล้เมืองสาวัตถีแล้วก็เสด็จขึ้นไปจำพรรษาที่ 7 บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์เพื่อเทศนาพระอภิธรรมโปรดพุทธมารดาเป็นเวลา 3 เดือน ครั้นออกพรรษาแล้วพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงเสด็จลงสู่มนุษย์โลกทางบันไดพาดลงใกล้เมืองสังกัสสะ

หลักธรรมที่ควรปฏิบัติในวันออกพรรษา

      ในเทศกาลออกพรรษา มีหลักธรรมสำคัญที่ควรนำไปปฏิบัติ คือ ปวารณา การเปิดโอกาสให้ผู้อื่นว่ากล่าวตักเตือนตนเองได้ ในการปวารณานี้อาจแบ่งบุคคลออกเป็น 2 ฝ่าย คือ

       1. ผู้ว่ากล่าวตักเตือน จะต้องเป็นผู้มีเมตตา ปรารถนาดีต่อผู้ที่ตนว่ากล่าวตักเตือน เรียกว่ามีเมตตาทางกาย ทางวาจา และทางใจ พร้อมมูล

     2. ผู้ถูกว่ากล่าวตักเตือน ต้องมีใจกว้าง มองเห็นความปรารถนาดีของผู้ตักเตือน ดีใจดังมีผู้มาบอกขุมทรัพย์ให้ 

การปวารณา จึงเป็นคุณธรรมสร้างความสมัครสมานสามัคคีและดำรงความบริสุทธิ์หมดจดไว้ในสังคมพระสงฆ์ การปวารณา แม้จะเป็นสังฆกรรมของสงฆ์ ก็อาจนำมาประยุกต์ใช้กับสังคมชาวบ้าน เช่น การปวารณากันระหว่างสมาชิกในครอบครัว ในสถานศึกษา ในสถานที่ทำงาน พนักงานในห้างร้าน บริษัทและหน่วยงานราชการ เป็นต้น

 วัตถุประสงค์ของกิจกรรมวันออกพรรษา


     1. เพื่อให้พุทธศาสนิกชนมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับความสำคัญของวันออกพรรษารวมทั้งหลักธรรม เรื่อง ปวารณาและแนวทางปฏิบัติ

     2. เพื่อให้พุทธศาสนิกชนมีทักษะในการคิดและการปฏิบัติตนอย่างถูกต้องในวันออกพรรษา และสามารถเลือกสรรหลักธรรม คือปวารณา ไปใช้ในการดำเนินชีวิตเพื่อพัฒนาตนและสังคม

     3. เพื่อให้พุทธศาสนิกชนเกิดเจตคติที่ดีต่อวันออกพรรษา และเห็นคุณค่าของการดำเนินชีวิตตามหลักธรรมคือ ปวารณา

     4. เพื่อให้พุทธศาสนิกชนเกิดศรัทธา ซาบซึ้งและตระหนักถึงความสำคัญของพระพุทธศาสนา

     5. เพื่อให้พุทธศาสนิกชนเป็นพุทธศาสนิกชนที่ดีและปฏิบัติตนตามหน้าที่ของพุทธศาสนิกชนได้อย่างถูกต้อง

ตื่นรู้

ตัวชี้วัดว่า “ตื่นรู้” มากแค่ไหน (Key Behavior Indicator)
โดย ดร.วรภัทร์ ภู่เจริญ

1. สดใสขึ้น ใจว่างๆ โล่งๆ (ใจดี หรือ ดีใจ ไม่เหมือน ใจโล่งๆ นะ) ไม่อมทุกข์ ไม่หน้าบึ้ง
2. ยิ้มง่ายขึ้น ยิ้มให้คนอื่นก่อน ไม่ต้องรอ ให้คนอื่นยิ้มให้ก่อน
3. ไหว้คนอื่นได้ก่อน ไม่มีข้อแม้ ว่าใครต้อง ไหว้ใครก่อน
4. ถ่อมตน ไม่เจ้ายศ ไม่เจ้าอย่าง ง่ายๆ ติดดิน
5. รับผิดชอบงานมากขึ้น ไม่อ้าง ไม่หนี อดทน ยอม
6. มีเมตตามากขึ้น ใช้เมตตาธรรมนำหน้าเหตุผล
7. ดู สังเกต มากกว่าที่จะ ด่วนวิจารณ์ ด่วนออกอาการ ด่วนออกอารมณ์ แม้นจะโดนด่า โดนเข้าใจผิด ก็ยัง อดทน ควบคุมตนเองได้ง่ายๆ ปล่อยๆ ไม่เอาเรื่อง ไม่เอาก็ได้
8. เปิดโอกาส ให้ผู้อื่นพูดมากขึ้น ฟังมากขึ้น ไม่ด่วน “สวนกลับ” ไม่ด่วน “หักคอ” ไม่ด่วนสรุป ไม่ด่วนฟันธง ไม่แทรกแซง ขณะคนอื่นกำลังพูด อัตราการเต้น ของหัวใจปกติ ไม่ตูมตาม เมื่อโดนคนอื่นด่า
9. ยอมรับ เปิดใจ ยอมรับ ความคิดเห็น ที่แตกต่างได้ รับฟังอีกมุมมองได้
10. ขยันๆ และ ”กล้า” ลงมือทำ ในเรื่องที่ดี เป็นกุศล ต่างๆ ทันที โดยไม่มีข้อแม้ ไม่เอาเรื่องในอดีต มาทำให้สะดุด ในการที่จะทำ ไม่เอา เรื่องในอนาคต มาหยุดตนเอง ทำตาม เป้าหมายได้ ไม่วอกแวก รู้จัก focus
11. กตัญญู พ่อแม่ ไปหา ไปดูแล ไปคุย กับผู้มีพระคุณ มากขึ้น ครูเก่า เจ้านาย ที่เคย ช่วยสอน ผู้มีอุปการะคุณ ฯลฯ
12. สัตว์เลี้ยงต่างๆ จะเดินเข้ามาหา เพราะคนที่ใจสงบ ตื่นรู้ บรรดาสัตว์ ในธรรมชาติเขาจะรับรู้
13. ไม่เมาบุญ ทำได้ก็ทำ ทำไม่ได้ ก็ไม่เป็นไร
14. "ให้" บริจาค จิตอาสา ทำเพื่อส่วนรวม มากขึ้น
15. รู้สึกว่าตนเอง เป็นหนึ่งเดียว กับธรรมชาติ รู้สึกว่า ผู้คนกับ ตัวเอง เป็นเนื้อเดียวกัน ไม่รู้จะทำลายกันไปทำไม
16. คบ บัณฑิต หลวงปู่ หลวงพ่อ ที่ดีๆ มากขึ้น ไปหา ไปฟังธรรม จากท่าน ตามโอกาส
17. ห่างไกล คนพาล อบายมุข
18. รักษาศีล ๕ มากๆ ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ขโมย ไม่ผิดกาม ไม่โกหก หลอกลวง ไม่ดื่มของมึนเมา
19. ชื่นชมผู้คน (Appreciation) ยินดีที่ คนอื่นได้ดี หรือ มี มุทิตา นั่นเอง
20. ไม่นินทาใคร ไม่ทำให้ใคร แตกแยก ชวนให้คนสามัคคีกัน
21. ไม่กังวล หลับสบาย หลับง่าย
22. ไม่ค่อยฝันร้าย เช่น ในฝัน ไม่รู้สึกวิ่งยากลำบาก ก้าวขาไม่ออกอีกต่อไป ไม่ฝันว่าฟันหัก ไม่ฝันว่ากลับไปเป็นเด็ก แล้วเครียดก่อนสอบอีก
23. ฝันดีบ่อย เช่น เจอพระ เจอคนดีๆ ตื่นขึ้นมาแล้วสดชื่น มีความสุข
24. นึกอะไร อยากได้อะไรที่ดีๆ เป็นกุศล ไม่นาน ก็จะได้ หรือ มีคนเอามาให้
25. ยอมคน เช่น ยอมให้แซงคิว ยอมให้เอาเปรียบ ยอมให้ต่อว่าฯลฯ แต่คิด เตือนอย่างนุ่มนวล
26. ไม่ด่วน ”ประเมิน” ตัดสิน ตัดเกรด แบ่งแยก พิพากษาผู้คน (judgement) ห้อยแขวน (suspend) เอาไว้ก่อน ดูมากขึ้น เผื่อคาดไม่ถึงบ้าง
27. รักผู้คน แบบไม่มีเงื่อนไข (Unconditional love) ไม่หวังผล ให้ก็คือให้ ไม่มีข้อแม้ ไม่อิจฉา ไม่ริษยา
28. รู้จักสติ ที่ฐานกาย ใช้ “กายรู้กาย” ได้มากขึ้น นานขึ้น ต่อเนื่องมากขึ้น รู้ๆ ทุกก้าว ทุกอิริยาบท
29. ”จับ” ความรู้สึก ที่“ใจ” ของตนเองได้ รู้ว่าใจกุศล อกุศล
30. “แยกแยะ” จิต กับ ความคิด ได้ รู้จักความคิดจร (ความคิด นอกแผน ความคิดที่ ไม่ได้ตั้งใจคิด ความคิดที่ชวนไป เละเทะ ฟุ้งซ่าน ออกนอกทางฯ) เป็น นีโอ ที่ สามารถ จับกระสุนความคิด ที่ กิเลสยิงใส่มาได้
31. กลับไปอ่าน หนังสือธรรมะ แล้ว เข้าที่ “ใจ”มากขึ้น ร้อง “อ๋อ” มากขึ้น
32. ไม่กลัวตาย สิ้นข้อสงสัย และ ไม่งมงาย ในศีลภายนอก

... ขอให้กัลยาณมิตร ทุกท่านมีความสุข ประสบผลสำเร็จ สมดังหมาย ด้วยเทอญ

Cr. New Heart New World

ยศช้างขุนนางพระ ?


#ยศช้างขุนนางพระ ?
ยศช้างขุนนางพระ เป็นสำนวน หมายถึง ยศที่ไม่สำคัญจริงจัง ไม่สามารถให้คุณหรือให้โทษแก่ใครได้ ประกอบด้วยคำว่า ยศช้าง และ ขุนนางพระ
ยศช้าง หมายถึง ยศของช้างสำคัญที่ได้รับพระราชทาน เช่นเป็น พระ พระยา เจ้าพระยา อย่าง พระเศวตอดุลยเดชพาหน (ช้างสำคัญในรัชกาลที่ ๙) พระยาเศวตกุญชร (ช้างสำคัญในรัชกาลที่ ๒) เจ้าพระยาปราบไตรจักร (ช้างทรงของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช) เจ้าพระยาไชยานุภาพ (ช้างทรงของสมเด็จพระเอกาทศรถ)
ขุนนางพระ หมายถึง ภิกษุที่ได้รับการสถาปนาหรือตั้งสมณศักดิ์เป็น พระราชาคณะชั้นต่างๆ ตั้งแต่ชั้นสามัญจนถึงชั้นรองสมเด็จพระราชาคณะ สมเด็จพระราชาคณะ หรือสมเด็จพระสังฆราช คนทั่วไปจะใช้สรรพนามในภาษาปากว่า เจ้าคุณ หรือ เจ้าประคุณ
ยศช้างขุนนางพระ เป็นคำเปรียบว่า ช้างถึงจะมียศศักดิ์สูงส่งเพียงใดก็ยังคงเป็นช้างเหมือนเดิม เช่นเดียวกับพระภิกษุทรงสมณศักดิ์ ท่านก็ยังมีจริยวัตรดำรงอยู่ในสมณเพศเช่นเดิมด้วยท่านเห็นความจริงว่ายศถาบรรดาศักดิ์เป็นเรื่องสมมุติ
ที่มา : บทวิทยุรายการ “รู้ รัก ภาษาไทย” ออกอากาศทางสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ ๓๑ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๕๖ เวลา ๗.๐๐-๗.๓๐ น.

วันอาทิตย์ที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2560

ใครบ้างที่จะเป็นโจทก์ว่ากล่าวตักเตือนหรือควรจะมีสิทธิ์ด่าพระเณรได้บ้าง ?

ติเติียนพระ
#ใครบ้างที่จะเป็นโจทก์ว่ากล่าวตักเตือนหรือควรจะมีสิทธิ์ด่าพระเณรได้บ้าง ?
ตามหลักของพระพุทธศาสนา คนที่จะเป็นโจทก์ฟ้องพระ จะต้องเป็นภิกษุด้วยกันหรือเป็นอนุปสัมบันอุบาสกอุบาสิกา พระวินัยเรียกว่า "คนที่น่าเชื่อถือ" ซึ่งจะต้องมีคุณสมบัติ 5 ประการคือ 1 มีศรัทธามั่นคง 2 มีศีลห้าศีลแปด 3 ไม่หลงงมงายตื่นข่าว 4 เข้าวัดทำบุญประจำ 5 ไม่ไปทำบุญในศาสนาอื่น
ดังนั้น ถ้าท่านใดคิดจะไปว่ากล่าวตักเตือนโจทก์พระหรือด่าพระ ท่านต้องมั่นใจว่าตนเองว่า มีคุณสมบัติดังกล่าวนี้แล้วหรือยัง ถ้ายังไม่มีสักข้อก็อย่าริบังอาจไปด่าว่าพระเสียๆหายๆ โดยเฉพาะในสื่อโซเชียลมีเดีย มีคนด่าพระทุกวันและรุนแรงมากขึ้น แต่ดูแล้วมิใช่คนที่นับถือพุทธจริงๆ แม้แต่คนใกล้ชิดรัฐก็ยังด่าพระ
วิธีตรวจดู ว่าคนนั้นสมควรด่าพระได้หรือไม่ ก็ไม่ยาก เข้าไปดูโปรไฟล์ของเขา ดูว่ามีภาพที่เขาเคยโพสต์ไปวัดหรือทำกิจกรรมบุญอะไรบ้างไหม ถ้าไม่มีแสดงว่าคนนั้นเป็นพุทธเถื่อนที่มาทำลายพุทธแท้
ทำไมพระพุทธเจ้าจึงทรงบัญญัติให้สิทธิ์คนที่มีคุณสมบัติ 5 ข้อนั้น ให้สามารถกล่าวฟ้องโจทก์พระ ว่ากล่าวตักเตือนพระได้ เหตุผลก็เพราะว่า บุคคลนั้นเป็นผู้นับถือพระพุทธศาสนา เป็นหนึ่งในพุทธบริษัทสี่ ชาวพุทธแท้ย่อมมีความรักปรารถนาดีต่อกัน รู้พระธรรมวินัยวินิจฉัยผิดถูกได้ ว่าตักเตือนด้วยจิตที่เมตตา ไม่มีอคติลำเอียงคิดจะทำร้ายกัน และเพื่อจะได้ช่วยกันดูแลรักษาพระพุทธศาสนาให้มั่นคงถาวรอยู่ได้ตลอดไป และเป็นผู้มีส่วนได้ส่วนเสียกับพระพุทธศาสนาโดยตรง !!
ส่วนคนที่ปากบอกแต่ว่า ตนเองเป็นชาวพุทธ เพียงแค่นับถือแต่ในทะเบียนบ้านเท่านั้น แต่มีพฤติกรรมนิสัยก้าวร้าวหยาบคาย ชอบแต่ด่านินทาพระ ในชีวิตไม่เคยเข้าวัดทำบุญใดๆเลย พวกนี้จึงไม่มีสิทธ์ิที่จะไปว่ากล่าวตักเตือนหรือด่าพระได้แม้แต่นิด เพราะเขาไม่ใช่ชาวพุทธที่แท้จริง ไม่มีส่วนที่จะช่วยทำให้พระพุทธศาสนาเจริญมั่นคงได้ ตรงกันข้ามมีแต่ทำลายให้พินาศ
เราจะต้องเขียนกฎหมายคุ้มครองพระพุทธศาสนาให้มีเนื้อหาข้อนี้ไว้ด้วย
ทุกวันเห็นพวกโพสต์ด่าว่าพระ...ไอ้พวกโล้นเหลืองหากินอยู่สุขสบาย ผมรู้สึกหดหู่ใจ จึงย้อนมามองดูตัวเอง... เอ่.. เราบวชเพื่อหากินไหม ? เรากอบโกยอะไร ? เราสุขสบายไหม ? เราเอาเปรียบสังคมไหม ? พอพระไปช่วยสังคมก็ยังมีคนด่าว่าไม่ใช่กิจสงฆ์ ? อยู่เฉยๆก็ว่าพระขี้เกียจ ? ตกลงจะให้พระทำอะไร ? เอาแต่หลับตาซั่นบ้อ !!!
คำตอบคือ #เราทุ่มเททำงานเหนื่อยมาตลอด จนเบื่อกับชีวิตอยากจะสละหนีไปแล้ว
บวชมา 30 ปี มีตำแหน่งพระครูมา 5 ปีได้รับนิตยภัต(เงินเดือน)รัฐถวายรวมทุกตำแหน่งเดือนละ 3,400 บาท ก็พออยู่ พอได้ค่าอาหารค่าหมอค่ายาค่ารถเดินทางไปศาสนกิจบ้าง แต่ก็ยังไม่พอใช้ ไม่มีคนปวารณา กิจนิมนต์นานๆทีมีครั้งจะได้ไปสวดก็ตามแต่เจ้าภาพจะถวาย ได้มาก็ทำบุญต่อ บริจาคบ้าง ก่อสร้างบ้าง
ถ้าบวชแล้วสุขสบาย ร่ำรวย คงจะมีคนมาบวชล้นวัด และเราคงไม่ปล่อยให้พ่อแม่ญาติพี่น้องอยู่ลำบากยากจนทนทำนาดอก บักหำน้อยเอ้ยๆๆๆ
#โพสต์ให้คิดเล่นๆเผื่อหูตาจะสว่างบ้าง
ขอบคุณข้อมูลจาก FB:พระครูสิริสีมาภรณ์ ดร.สถาพร

วันเสาร์ที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2560

ต้นไม้แก่ ขอฝน จากเมฆก้อนน้อย

ชอบจัง
¥¥¥
อ่านกี่ครั้งก็โดนใจ...(heart)

ต้นไม้แก่ ขอฝน
จากเมฆก้อนน้อย
เมฆก้อนน้อยตอบเพียงว่า

น้ำฝนมีอยู่น้อย
กลัวว่ามันคงจะไม่พอ
...ให้ต้นไม้แก่ได้ชื่นใจ

วันต่อมา...
เมฆก้อนน้อยก็ยังคง
บอกเช่นเดิม มันน้อยไป 
จึงไม่พร้อมที่จะให้...!!!

เมฆก้อนน้อยจึงเดินทาง
และพยายามสะสมฝน
เพื่อที่จะให้มันมากพอ...!!!
พอที่จะทำให้ต้นไม้แก่ได้ชื่นใจ

เมื่อมีปริมาณมากพอ
เมฆน้อยจึงกลับมา...

แต่สิ่งที่พบข้างหน้า
มีเพียงซากต้นไม้แก่
ที่ตายแล้ว...!!!

เมฆน้อยได้แต่ร้องไห้
แล้วถามว่า...ทำไม ?
ความพยายามของฉัน
ไม่มีค่าเลยเหรอ...!?!

ชายหนุ่มที่นั่งใต้ต้นไม้
จึงได้แหงนหน้า........
แล้วบอกเมฆน้อยไปว่า...

* การที่เราจะให้อะไร?
แก่ใครสักคนที่เรารัก...
มันไม่ต้องรอให้มากพอ
หรือรอความพร้อมอะไรหรอก
ให้เท่าที่มี.....ก็ทำให้คนรับ
ชื่นหัวใจได้.....  (heart)
ความพยายามเป็นสิ่งที่ดี
แต่มันก็มีเวลาเป็นเงื่อนไข !!!

อย่าไปรอให้รวย !!!
ถึงจะทำอะไรให้คนที่เรารัก
อย่าไปรอให้พร้อม !!!
ถึงจะทำอะไรให้คนที่เรารัก
เพราะคนที่เรารัก...........
อาจไม่มีเวลามากพอที่รอเรา !!! *

แล้วก่อนที่ต้นไม้แก่จะจากไป
เขาฝากบอกเธอไว้ว่า
ถ้าเห็นเธอผ่านมา
ให้บอกเธอว่า..เขารักเธอ

เมฆน้อยได้แต่หลั่งน้ำตา
ออกมาเป็นเม็ดฝนอย่าง
ไม่ขาดสาย..ให้กับต้นไม้
ที่ไม่มีวันแตกใบให้ได้เห็น
อีกต่อไป..ตลอดกาล !!!

*อ่านกี่ทีก็ชอบ..เพราะเตือนสติ
ได้ดีมาก...ในสิ่งที่เรามองข้าม

บทความนี้เขียนขึ้นโดย
จอร์จ คอลลิน ซึ่งเป็นดารา
ตลกที่โด่งดัง เขาเขียนขึ้นใน
วันที่ 11 กันยายน  2001
(ตึกเวิรด์เทรดถล่ม)หลังจาก
ที่ทราบว่าภรรยาของเขา
เสียชีวิตในตึกนั้นด้วย..!!!.

ทำ..ในสิ่งที่อยากจะทำ !!!

ทุกวันนี้เรามีตึกสูงขึ้น แต่
ความอดกลั้นน้อยลง...!!!

เรามีบ้านใหญ่ขึ้น แต่
ครอบครัวเรากลับเล็กลง...!!!

เรามียาใหม่ ๆ มากขึ้น แต่
สุขภาพกลับแย่ลง...!!!

เรามีความรักน้อยลง แต่
มีความเกลียดมากขึ้น...!!!

เราไปถึงโลกพระจันทร์มาแล้ว แต่เรากลับพบว่า.................
แค่การข้ามถนนไปทักทาย
เพื่อนบ้านกลับยากเย็น...!!!

เราพิชิตห้วงอวกาศมาแล้ว แต่
แค่ห้วงในหัวใจกลับ
ไม่อาจสัมผัสถึง...!!!

เรามีรายได้สูงขึ้น แต่
ศีลธรรมกลับตกต่ำลง...!!!

เรามีอาหารดี ๆ มากขึ้น แต่
สุขภาพแย่ลง...!!!

ทุกวันนี้ ทุกบ้านมีคนหารายได้
ได้ถึง 2 คน แต่การหย่าร้างกลับเพิ่มมากขึ้น

ดังนั้นจากนี้ไปขอให้พวกเรา...

อย่าเก็บของดี ๆ ไว้โดยอ้าง
ว่าเพื่อใช้โอกาสพิเศษ...!!!

เพราะทุกวันที่เรายังมีชีวิตอยู่
คือโอกาสที่พิเศษสุดแล้ว...!!!

จงแสวงหา...การหยั่งรู้ !!!

จงนั่งตรงระเบียงบ้านเพื่อ
ชื่นชมกับการมีชีวิตอยู่
โดยไม่ใส่ใจกับความอยาก

จงใช้เวลากับครอบครัว
เพื่อนฝูง คนที่รักให้มากขึ้น

กินอาหารให้อร่อย.......
ไปเที่ยวในที่ที่อยากจะไป

ชีวิตคือ โซ่ห่วงของนาที
แห่งความสุข ไม่ใช่เพียง
แค่การอยู่ให้รอด...!!!

เอาแก้วเจียระไนที่มีอยู่มาใช้เสีย

น้ำหอมดี ๆ ที่ชอบ
จงหยิบมาใช้เมื่ออยากจะใช้

เอาคำพูดที่ว่า "สักวันหนึ่ง……" ออกไปเสียจากพจนานุกรม

บอกคนที่เรารักทุกคนว่า
เรารักพวกเขาเหล่านั้น แค่ไหน !

อย่าผลัดวันประกันพรุ่ง
ที่จะทำอะไรก็ตาม.....
ที่ทำให้เรามีความสุขเพิ่มขึ้น

ทุกวัน..ทุกชั่วโมง..ทุกนาที
มีความหมาย...เราไม่อาจรู้
เลยว่าเมื่อไร?มันจะสิ้นสุดลง !

และเวลานี้….........

ถ้าคุณคิดว่าคุณไม่มีเวลา
ที่จะ forword ข้อความนี้
ให้คนที่คุณรักอ่าน แล้วคิดว่า
"สักวันหนึ่งค่อยส่ง" ละก้อ...!

คุณอาจจะไม่มีโอกาสนั้นก็ได้ !?!

ใครจะรู้...ใช่ไหม ?!?

...รัก & คิดถึง

วันศุกร์ที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2560

รู้จักกับ Thailand 4 0


ไทยแลนด์ 4.0 คืออะไร?
“ไทยแลนด์ 4.0”  เป็นวิสัยทัศน์เชิงนโยบายการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศไทย หรือ โมเดลพัฒนาเศรษฐกิจของรัฐบาล ภายใต้การนำของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่เข้ามาบริหารประเทศบนวิสัยทัศน์ที่ ว่า “มั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน” ที่มีภารกิจสำคัญในการขับเคลื่อนปฏิรูปประเทศด้านต่าง ๆ เพื่อปรับแก้ จัดระบบ ปรับทิศทาง และสร้างหนทางพัฒนาประเทศให้เจริญ สามารถรับมือกับโอกาสและภัยคุกคามแบบใหม่ ๆที่เปลียนแปลงอย่างเร็ว รุนแรงในศตวรรษที่ 21 ได้

ประเทศไทยในอดีตที่ผ่านมามีการพัฒนาด้านเศรษฐกิจเป็นไปอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ ยุคแรก ขอเรียกว่า “ประเทศไทย 1.0” เน้นการเกษตรเป็นหลัก เช่น ผลิตและขาย พืชไร่ พืชสวน หมู หมา กา ไก่ เป็นต้น ยุคสอง ขอเรียกว่า “ประเทศไทย 2.0” เน้นอุตสาหกรรมแต่เป็นอุตสาหกรรมเบา เช่น การผลิตและขายรองเท้า  เครื่องหนัง เครื่องดื่ม  เครื่องประดับ เครื่องเขียน กระเป๋า เครื่องนุ่งห่ม เป็นต้น และปัจจุบัน (2559) จัดอยู่ในยุคที่สาม ขอเรียกว่า ”ประเทศไทย 3.0”  เป็นอุตสาหกรรมหนักและการส่งออก เช่น การผลิตและขาย ส่งออกเหล็กกล้า รถยนต์ กลั่นนำมัน แยกก๊าซธรรมชาติ ปูนซีเมนต์ เป็นต้น แต่ ไทยในยุค 1.0  2.0 และ 3.0 รายได้ประเทศยังอยู่ในระดับปานกลาง อยู่อย่างนี้ไม่ได้ ต้องรีบพัฒนาเศรษฐกิจสร้างประเทศ จึงเป็นเหตุให้นำไปสู่ยุคที่สี ให้รหัสใหม่ว่า ”ประเทศไทย 4.0” ให้เป็นเศรษฐกิจใหม่ (New Engines of Growth) มีรายได้สูง โดยวางเป้าหมายให้เกิดภายใน 5-6 ปีนี้  คล้าย ๆ กับการวางภาพอนาคตทางเศรษฐกิจที่ชัดเจนของประเทศที่พัฒนา เช่น สหรัฐอเมริกา “ A Nation of Makers ”  อังกฤษ “Design of Innovation”  อินเดีย “ Made in India” หรือ ประเทศเกาหลีใต้ที่วางโมเดลเศรษฐกิจในชื่อ “ Creative Economy”  

ไทยแลนด์ 4.0 มีลักษณะอย่างไร?

“ประเทศไทย 4.0” เป็นความมุ่งมั่นของนายกรัฐมนตรี ที่ต้องการปรับเปลี่ยนโครงสร้างเศรษฐกิจ ไปสู่ “Value–Based Economy” หรือ “เศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม”  โดยมีฐานคิดหลัก คือ เปลี่ยนจากการผลิตสินค้า “โภคภัณฑ์” ไปสู่สินค้าเชิง “นวัตกรรม” .เปลี่ยนจากการขับเคลื่อนประเทศด้วยภาคอุตสาหกรรม ไปสู่การขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี ความคิดสร้างสรรค์ และนวัตกรรม  และเปลี่ยนจากการเน้นภาคการผลิตสินค้า ไปสู่การเน้นภาคบริการมากขึ้น

ดังนั้น “ประเทศไทย 4.0” จึงควรมีการเปลี่ยนวิธีการทำที่มีลักษณะสำคัญ คือ เปลี่ยนจากการเกษตรแบบดั้งเดิมในปัจจุบัน ไปสู่การเกษตรสมัยใหม่ ที่เน้นการบริหารจัดการและเทคโนโลยี (Smart Farming) โดยเกษตรกรต้องร่ำรวยขึ้น และเป็นเกษตรกรแบบเป็นผู้ประกอบการ (Entrepreneur) เปลี่ยนจาก Traditional SMEs หรือ SMEs ที่มีอยู่และรัฐต้องให้ความช่วยเหลืออยู่ตลอดเวลา ไปสู่การเป็น Smart Enterprises และ Startups บริษัทเกิดใหม่ที่มีศักยภาพสูง เปลี่ยนจาก Traditional Services ซึ่งมีการสร้างมูลค่าค่อนข้างต่ำ ไปสู่ High Value Services และเปลี่ยนจากแรงงานทักษะต่ำไปสู่แรงงานที่มีความรู้ ความเชี่ยวชาญ และทักษะสูง
ไทยแลนด์ 4.0 จะพัฒนาเรื่องใดบ้าง?
เพื่อให้เกิดผลจริงต้องมีการพัฒนาวิทยาการ ความคิดสร้างสรรค์ นวัตกรรม วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และการวิจัยและพัฒนา แล้วต่อยอดในกลุ่มเทคโนโลยีและอุตสาหกรรมเป้าหมาย ดังนี้
1. กลุ่มอาหาร เกษตร และเทคโนโลยีชีวภาพ เช่น สร้างเส้นทางธุรกิจใหม่ (New Startups) ด้านเทคโนโลยีการเกษตร  เทคโนโลยีอาหาร เป็นต้น
2. กลุ่มสาธารณสุข สุขภาพ และเทคโนโลยีทางการแพทย์ เช่น พัฒนาเทคโนโลยีสุขภาพ  เทคโนโลยีการแพทย์ สปา เป็นต้น
3. กลุ่มเครื่องมือ อุปกรณ์อัจฉริยะ หุ่นยนต์ และระบบเครื่องกลที่ใช้ระบบอิเล็กทรอนิกส์ควบคุม เช่น เทคโนโลยีหุ่นยนต์ เป็นต้น
4. กลุ่มดิจิตอล เทคโนโลยีอินเตอร์เน็ตที่เชื่อมต่อและบังคับอุปกรณ์ต่างๆ ปัญญาประดิษฐ์และเทคโนโลยีสมองกลฝังตัว เช่น เทคโนโลยีด้านการเงิน อุปกรณ์เชื่อมต่อออนไลน์โดยไม่ต้องใช้คน เทคโนโลยีการศึกษา อี–มาร์เก็ตเพลส อี–คอมเมิร์ซ เป็นต้น
5. กลุ่มอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ วัฒนธรรม และบริการที่มีมูลค่าสูง  เช่น เทคโนโลยีการออกแบบ ธุรกิจไลฟ์สไตล์  เทคโนโลยีการท่องเที่ยว การเพิ่มประสิทธิภาพการบริการ  เป็นต้น

ไทยแลนด์ 4.0 จะพัฒนาอย่างไร?
การพัฒนาประเทศภายใต้โมเดล “ประเทศไทย 4.0” จะสำเร็จ ใช้แนวทาง “สานพลังประชารัฐ” เป็นตัวการขับเคลื่อน โดยมุ่งเน้นการมีส่วนร่วมของภาคเอกชน ภาคการเงินการธนาคาร ภาคประชาชน ภาคสถาบันการศึกษา มหาวิทยาลัยและสถาบันวิจัยต่างๆ ร่วมกันระดมความคิด ผนึกกำลังกันขับเคลื่อน ผ่านโครงการ  บันทึกความร่วมมือ  กิจกรรม หรือ งานวิจัยต่าง ๆ  โดยการดำเนินงานของ”ประชารัฐ” กลุ่มต่างๆ อันได้แก่ กลุ่มที่ 1 การยกระดับนวัตกรรมและผลิตภัณฑ์การปรับแก้กฎหมายและกลไกภาครัฐ พัฒนาคลัสเตอร์ภาคอุตสาหกรรมแห่งอนาคต และการดึงดูดการลงทุน และการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน กลุ่มที่ 2 การพัฒนาการเกษตรสมัยใหม่และการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากและประชารัฐ กลุ่มที่ 3การส่งเสริมการท่องเที่ยวและไมล์ การสร้างรายได้ และการกระตุ้นการใช้จ่ายภาครัฐ กลุ่มที่ 4 การศึกษาพื้นฐานและพัฒนาผู้นำ (โรงเรียนประชารัฐ) รวมทั้งการยกระดับคุณภาพวิชาชีพ และกลุ่มที่ 5 การส่งเสริมการส่งออกและการลงทุนในต่างประเทศ รวมทั้งการส่งเสริมกลุ่ม SMEs และผู้ประกอบการใหม่ (Start Up) ซึ่งแต่ละกลุ่มกำลังวางระบบและกำหนดแนวทางในการขับเคลื่อนนโยบายอย่างเข้มข้น
ไทยแลนด์ 4.0 คืออะไร
ไทยแลนด์ 4.0 โมเดล

      โดยสรุป กระบวนทัศน์ในการพัฒนาประเทศภายใต้ “ประเทศไทย 4.0”  เป็นอีกนโยบายหนึ่งที่เป็นการวางรากฐานการพัฒนาประเทศในระยะยาว เป็นจุดเริ่มต้นในการขับเคลื่อนไปสู่การเป็นประเทศที่มั่งคั่ง มั่นคง และยั่งยืน ตามวิสัยทัศน์รัฐบาลเป็นรูปแบบที่มีการผลักดันการปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจ การปฏิรูปการวิจัยและการพัฒนา และการปฏิรูปการศึกษาไปพร้อมๆ กัน  เป็นการผนึกกำลังของทุกภาคส่วนภายใต้แนวคิด “ประชารัฐ” ที่ผนึกกำลังกับเครือข่ายพันธมิตรทางธุรกิจ การวิจัยพัฒนา และบุคลากรทั้งในและระดับโลก
นี่เป็นแนวคิดทิศทางการพัฒนาประเทศเพื่อก้าวเข้าสู่โมเดล “ประเทศไทย 4.0”ของรัฐบาลในปัจจุบัน จะเป็นได้จริงแค่ไหนไม่ใช่คอยติดตามอย่างเดียว แต่ต้องช่วยกันทุกฝ่าย คนละไม้คนละมือตามภารกิจโดยเฉพาะคนในวงการศึกษา

 ขอบคุณข้อมูลจาก 
1.http://www.drborworn.com/articledetail.asp?id=16223
2.www.it24hrs.com

หอมศีล (สรภัญญะอิสาน)/



กลิ่นศีลหอมไปไกล ........ถึงเทพไท้และเทวา
เป็นของพระสัตถา .........บัญญัติมาเป็นแก่นสาร
มีศีลใจเบิกบาน ............กายสังขารก็สดใส
ดอกไม้นานาพันธุ์ ..........หอมไม่นานก็โรยรา
กลิ่นศีลพระสัมมา ..........หอมจากป่าเข้าถึงเมือง
เป็นเรื่องอัศจรรย์ ...........หอมอยู่นานสองพันปี
หอมไปได้ทุกที่ .............ผู้ใดมีไม่ตรอมตรม
หอมทวนกระแสลม.........คนนิยมหากมีศีล
เทวินและอินทร์พรหม .......ก็ชื่นชมโมทนา
กษัตราราชินี ................ก็ย่อมมีประดับกาย
ชนชาติภาษาใด ............ไม่มีภัยหากมีศีล
สมเด็จพระมุนิน .............อาศัยศีลถึงนิพพาน
กลิ่นศีลหอมอยู่นาน .........ปัจจุบันยังหอมดี
ขอเชิญเหล่านารี ............เอาของดีไปรักษา
เป็นของพระสัมมา ..........ไปรักษาปฏิบัติ
กำจัดตัวตัณหา ..............กายวาจาเป็นสุขี
ขอบอกกล่าวเพียงเท่านี้ .....สวัสดี ทุกท่านเทอญ (ซ้ำ 3ครั้ง)

วันอังคารที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2560

สถาปนา130ปี มหาจุฬาฯ/130 MCU Profile Maker(โลโก้ มจร 130 ปี)


------------------------------------------------------------------------------------------
1.เตรียมรูปโปรไฟร์ 2.ไปที่เว็บ 130 MCU Profile Maker http://pr.mcu.ac.th/mcu130/ 3.ทำการอับรูปขึ้นเว็บ เลือกแบบได้ตามชอบ มี 3 แบบให้เลือก 4.บันทึกภาพลงภาพพิวเตอร์ของคุณ 5.เพียงเท่านี้ท่านก็ได้รูป แสดงสัญลักษณ์ รวมพลังเลือดสีชมพู ตระหนักรู้คุณค่า สถาปนา130ปี มหาจุฬาฯ ช่วยกันสร้างพลังอันยิ่งใหญ่ ให้ชื่อเสียงดังไป สู่ระดับนานาชาติ -------------------------------------------------------------------- “๑๓๐ ปี มหาจุฬา” เนื่องในวาระวันครบรอบสถาปนา 130 ปี มหาจุฬาฯ มหาวิทยาลัยได้มีการประชุมเตรียมงานในวันพุธที่ ๒๓ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๖๐ เวลา ๑๔.๐๐ น. พระพรหมบัณฑิต,ศ.ดร.อธิการบดี มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เป็นประธานในการประชุมคณะกรรมการจัดงาน ครบรอบวันสถาปนา “๑๓๐”ปี มหาจุฬา” ณ ห้องประชุม ๔๐๑ อาคารสำนักงานอธิการบดี ซึ่งงานสำคัญในครั้งนี้ จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ ๑๓-๑๗ กันยายน ๒๕๖๐ ซึ่งอธิการบดีเล็งเห็นความสำคัญของการตระหนักรู้ถึงคุณค่า ความเป็นมาที่ยาวนานกว่า ๑๓๐ ปีของมหาวิทยาลัย และจะมีการออกแบบโลโก้ มจร ๑๓๐ ปี เพื่อสร้างสัญลักษณ์ และสร้างการตระหนักรู้คุณค่าของมหาวิทยาลัย จึงได้จัดทำโลโก้ ๑๓๐ ปี สถาปนามหาจุฬาฯ ขึ้น สามารถดาวน์โหลด LOGO ได้ที่ http://pr.mcu.ac.th/?p=1943

โทษของหญิง ที่มีต่อบุรุษผู้ปรารถนาพระนิพพาน

โอวาทของพระอริยเจ้า
   
        ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย การติดต่อกับมาตุคาม เป็นปฏิปักษ์ต่อพรหมจรรย์ ภิกษุพึงปฏิบัติต่อมาตุคาม ๓ ประการคือ ๑.การไม่เห็น ๒.ถ้าจำเป็นต้องเห็นก็ไม่พึงเจรจาด้วย ๓.ถ้าจำเป็นต้องเจรจา พึงตั้งสติไว้

        ธรรมดาว่าหญิงเป็นคนมักโกรธ ไม่รู้จักคุณ ชอบส่อเสียด ชอบยุยงให้แตกกัน ดูก่อนภิกษุ ท่านจงประพฤติพรหมจรรย์เถิด ท่านจักไม่เสื่อมจากความสุข

        ธรรมดาว่าหญิงเหล่านี้ เป็นผู้ยังบุรุษให้งงงวย มีมารยามาก และยังพรหมจรรย์ให้กำเริบ ย่อมจะจมลงในอบาย บัณฑิตรู้ชัดอย่างนี้แล้วพึงหลีกเว้นเสียให้ห่างไกล

        ธรรมดาสตรี มีปกติหมุนเวียน มีมายามาก มักทำพรหมจรรย์ให้กำเริบ ย่อมทำนักพรตให้จมลง ท่านรู้แจ้งฉะนี้แล้วพึงเว้นเสียให้ห่างไกล

        สตรีทั้งหลายมีวาจาไพเราะ มีสภาพอ่อนหวาน ยากที่จะให้เต็มได้เสมอด้วยแม่น้ำ

        สตรีทั้งหลาย ย่อมเข้าไปส้องเสพบุรุษใด ด้วยความพอใจ หรือด้วยทรัพย์ก็ตาม ย่อมพลันตามเผาผลาญบุรุษนั้น เหมือนไฟป่าเผาสถานที่ตนเองฉะนั้น

        มุนีเหล่าใดย่อมไม่พัวพันในหญิงทั้งหลาย มุนีเหล่านั้นย่อมนอนหลับเป็นสุข

        สัจจะที่ได้ยากแสนยากในหญิงเหล่าใด หญิงเหล่านั้นอันบุคคลต้องรักษาทุกเมื่อแท้

        ราคะ บัณฑิตกล่าวว่าเป็นทางผิด วัยสิ้นไปตามคืนและวัน หญิงเป็นมลทินของพรหมจรรย์ หมู่สัตว์นี้ย่อมติดอยู่ในหญิงนี้  ตบะและพรหมจรรย์นั้นมิใช่น้ำ แต่เป็นเครื่องชำระล้าง

        น้ำดองในโลกเขาเรียกชื่อว่าสุรา สุราทำให้ใจฮึกเหิม มีกลิ่นหอม ทำให้พูดมาก มีรสหวานแหลมปานน้ำผึ้ง พระอริยะทั้งหลายกล่าวสุรานั้นว่าเป็นพิษของพรหมจรรย์

        หญิงในโลกย่อมย่ำยีบุรุษผู้ประมาทแล้ว หญิงเหล่านั้นย่อมจูงจิตของบุรุษไปเหมือนลมพัดปุยนุ่นที่หล่นจากต้นไปฉะนั้น นี่บัณฑิตกล่าวว่าเป็นเหวของพรหมจรรย์

        ลาภ สรรเสริญ สักการะ และการบูชาในตระกูลอื่นๆ นี่บัณฑิตกล่าวว่าเป็นเปือกตมของพรหมจรรย์

        เบญจกามคุณอันน่ารื่นรมย์ใจเหล่านี้คือ รูป รส กลิ่น เสียง และโผฏฐัพพะ ที่มีปรากฏอยู่ในเรือนร่างของผู้หญิง ย่อมล่อลวงปุถุชนให้ลำบาก เหมือนพรานเนื้อแอบตัดเนื้อด้วยเครื่องดัก พรานเบ็ดจับปลาด้วยเบ็ด บุคคลจับวานรด้วยเครื่องล่อฉะนั้น

        ปุถุชนเหล่าใดมีจิตกำหนัด เข้าไปส้องเสพหญิงเหล่านั้น ปุถุชนเหล่านั้นย่อมยังสงสาร(วัฏฏะ)อันน่ากลัวให้เจริญ ย่อมก่อภพใหม่ขึ้นอีก  ส่วนผู้ใดงดเว้นหญิงเหล่านั้นเหมือนบุคคลสลัดหัวงูด้วยเท้า ผู้นั้นเป็นผู้มีสติ ระงับตัณหาอันซ่านไปในโลกเสียได้ เห็นโทษในกาม เห็นการออกบรรพชาด้วยความเกษม สลัดตนจากกามทั้งปวงแล้ว ได้บรรลุความสิ้นอาสวะ

        บัณฑิตเจรจากับบุรุษผู้ถือดาบอย่างคมกล้า พึงเจรจากับปิศาจผู้ดุร้าย แม้จะพึงเข้าไปนั่งใกล้งูพิษร้าย แต่ไม่ควรเจรจากับหญิงตัวต่อตัว เพราะว่าหญิงเป็นผู้ย่ำยีจิตของโลก ถืออาวุธคือการฟ้อนรำขับร้องและการเจรจา ย่อมเบียดเบียนบุรุษผู้ไม่ตั้งสติไว้ เหมือนหมู่รากษสที่เกาะเบียดเบียนพ่อค้าฉะนั้น

        หญิงไม่มีวินัย ไม่มีสังวร ยินดีในน้ำเมาและเนื้อสัตว์ ไม่สำรวม ผลาญทรัพย์ที่บุรุษหามาได้โดยยากให้ฉิบหาย เหมือนปลาติมิงคละกลืนกินมังกรในทะเลฉะนั้น

        หญิงมีกามคุณห้าอันน่ายินดีเป็นทำเลหากิน เป็นคนหยิ่ง จิตไม่เที่ยงตรง ไม่สำรวม ย่อมเข้าหาชายผู้ประมาท เหมือนแม่น้ำทั้งหลายอันไหลไปสู่มหาสมุทรฉะนั้น

        หญิงได้ชื่อว่าฆ่าชายด้วยราคะและโทสะ เข้าไปหาชายคนใดเพราะความพอใจ เพราะความกำหนัด หรือเพราะความต้องการทรัพย์ ย่อมเผาชายเช่นนั้นเสียเช่นกับเปลวไฟ

        หญิงรู้ว่าชายมั่งคั่ง มีทรัพย์ ย่อมเข้าไปหาชาย ย่อมให้ทั้งทรัพย์และตนเอง ย่อมเกาะชายที่มีจิตถูกราคะย้อม เหมือนเถาย่านทรายเกาะไม้สาละในป่าฉะนั้น

        หญิงประดับร่างกายหน้าตาให้สะสวย เข้าไปหาชายด้วยความพอใจมีประการต่างๆ ทำยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ใช้มารยาตั้งร้อย เหมือนดั่งคนเล่นกลและอสุรินทราหู

        หญิงประดับประดาด้วยทองแก้วมณีและมุกดา ถึงจะมีคนสักการะและรักษาไว้ในตระกูลของสามี ยังประพฤตินอกใจสามี ดั่งหญิงที่อยู่ในทรวงอกประพฤตินอกใจมาณพฉะนั้น

        จริงอยู่ นรชนผู้มีปัญญาเครื่องพิจารณา แม้จะมีเดช มีมหาชนสักการบูชา แต่ถ้าตกอยู่ในอำนาจของหญิงแล้ว ย่อมไม่รุ่งเรือง เหมือนพระจันทร์ถูกราหูจับฉะนั้น

        โจรผู้มีจิตโกรธคิดประทุษร้าย พึงกระทำแก่โจรอื่นซึ่งเป็นข้าศึกที่มาประจัญหน้า ส่วนผู้ตกอยู่ในอำนาจของหญิง ไม่มีอุเบกขา ย่อมเข้าถึงความพินาศยิ่งกว่านั้นอีก

        หญิงถึงจะถูกชายฉุดกระชากลากผม และหยิกข่วนด้วยเล็บ คุกคามทุบตีด้วยเท้า ด้วยมือและท่อนไม้ ก็กลับวิ่งเข้าหา เหมือนหมู่แมลงวันที่ซากศพฉะนั้น

        บุรุษผู้มีจักษุคือปัญญา ปรารถนาความสุขแก่ตน พึงเว้นหญิงเสีย เหมือนกับบ่วงและข่ายที่ดักไว้ในสกุลในถนนสายหนึ่งในราชธานีหรือในนิคม บุรุษผู้ตกอยู่ในอำนาจของหญิงย่อมถูกติเตียนทั้งโลกนี้และโลกหน้า กรรมของตนกระทบแล้ว เป็นคนโง่เขลา ย่อมไปพลั้งๆพลาดๆ โดยไม่แน่นอน เหมือนรถที่เทียมด้วยลาโกงย่อมผิดทางฉะนั้น

        ผู้ตกอยู่ในอำนาจของหญิง ย่อมเข้าถึงนรกเป็นที่เผาสัตว์ให้รุ่มร้อน และนรกอันมีป่าไม้งิ้ว มีหนามแหลมดั่งหอกเหล็ก แล้วมากำเนิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน ย่อมไม่พ้นจากวิสัยเปรตและอสุรกาย

        หญิงย่อมทำลายความเล่นหัว ความยินดี ความเพลิดเพลินอันเป็นทิพย์ และจักรพรรดิสมบัติในมนุษย์ของชายผู้ประมาทให้พินาศ และยังทำชายนั้นให้ถึงทุคติอีกด้วย

        ชายเหล่าใดไม่ต้องการหญิง ประพฤติพรหมจรรย์ ชายเหล่านั้นพึงได้การเล่นหัว ความยินดีอันเป็นทิพย์ จักรพรรดิสมบัติในมนุษย์ และนางเทพอัปสรอันอยู่ในวิมานทองโดยไม่ยากเลย

        ชายเหล่าใดไม่ต้องการหญิง ประพฤติพรหมจรรย์ ชายเหล่านั้นพึงได้คติที่ก้าวล่วงเสียซึ่งกามธาตุ รูปธาตุ สมภพ และคติที่เข้าถึงวิสัยความปราศจากราคะโดยไม่ยากเลย

        ชายเหล่าใดไม่ต้องการหญิง ประพฤติพรหมจรรย์ ชายเหล่านั้นเป็นผู้ดับแล้ว สะอาด พึงได้นิพพานอันเกษม อันก้าวล่วงเสียซึ่งทุกข์ทั้งปวง ล่วงส่วน ไม่หวั่นไหว ไม่มีอะไรปรุงแต่งโดยไม่ยากเลย

        ขึ้นชื่อว่าหญิงในโลกนี้เลวทราม เพราะหญิงเหล่านั้นไม่มีเขตแดน มีแต่ความกำหนัดยินดี คึกคะนองไม่เลือก เหมือนกับไฟที่ไหม้ไม่เลือกฉะนั้น เราจักละทิ้งหญิงเหล่านั้นไปบวช พอกพูนความวิเวก

        หญิงเหล่านี้ดีแต่เมื่อยังไม่เข้าไปใกล้ เมื่อเข้าไปใกล้นำความฉิบหายมาให้เป็นนิตย์ทีเดียว

        บุคคลผู้ต้องการอาหารในเวลาอาหารพึงเข้าไปใกล้เรือนใด พึงรู้กุศลคืออโคจรห้าที่ควรเว้นในสกุลนั้น  บุคคลเข้าไปสู่ตระกูลอื่นเพื่อปานะหรือโภชนะแล้ว พึงรู้จักประมาณบริโภคแต่พอสมควร และไม่พึงใส่ใจในรูปผู้หญิง

        ในพวกมนุษย์ ชนที่ถึงฝั่งมีจำนวนน้อย แต่หมู่สัตว์นอกนี้ย่อมวิ่งไปตามฝั่งนั่นเอง ส่วนชนเหล่าใดประพฤติตามในธรรมที่พระผู้มีพระภาคตรัสไว้ดีแล้ว ชนเหล่านั้นข้ามบ่วงมฤตยูซึ่งแสนยากที่จะข้ามไปถึงฝั่งได้

        บัณฑิตพึงละธรรมฝ่ายดำเสีย เจริญธรรมฝ่ายขาว ออกจากความอาลัย อาศัยธรรมอันไม่มีความอาลัยแล้ว พึงละกามเสีย เป็นผู้ไม่มีกิเลสเป็นเครื่องกังวล ปรารถนาความยินดีในวิเวกที่สัตว์ยินดีได้โดยยาก

        บัณฑิตพึงยังตนให้ผ่องแผ้วจากเครื่องเศร้าหมองจิต ชนเหล่าใดอบรมจิตดีแล้วโดยชอบในองค์เป็นเหตุให้ตรัสรู้ ไม่ถือมั่น ยินดีแล้วในความสละคืนจากความถือมั่น ชนเหล่านั้นเป็นผู้สิ้นอาสวะ มีความรุ่งเรือง ปรินิพพานแล้วในโลกนี้

        อริยสาวกของพระตถาคต ย่อมไม่ยินดีในกามคุณแม้ในสวรรค์ จะป่วยกล่าวไปใยถึงกามคุณอันเป็นของมนุษย์เล่า ก็ชนเหล่าใดแลเป็นคนพาลมีปัญญาทราม มีความคิดชั่ว ถูกโมหะหุ้มห่อไว้แล้ว ชนเหล่านั้นจึงจะกำหนัดยินดีในเครื่องผูกที่มารดักไว้

        ชนเหล่าใด คลายราคะ โทสะ และอวิชชาได้แล้ว ชนเหล่านั้นผู้คงที่ เป็นผู้ตัดเส้นด้ายคือตัณหาเครื่องนำไปสู่ภพขาดแล้ว ไม่มีเครื่องผูกพัน ย่อมไม่กำหนัดยินดีในบ่วงแห่งมารนั้นฯ.
ขอบคุณข้อมูลจาก https://sites.google.com/site/watluangpreechakul/women

ตัวอย่างคนสู้ชีวิต

คนสู้ชีวิต
คนสู้ชีวิต

ลาว เขมร เวียดนาม แรงงานต่างด้าว ฉันคือหนึ่งในนั้น จะมีสักกี่คนที่โชคดีแบบฉันนะ

--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

        ข้าพเจ้าเป็นแรงงานต่างด้าวแบบหลบหนีเข้าเมือง มาอาศัยเมืองไทยแบบไม่มีเอกสารใดๆ ทั้งสิ้น เคยลักเล็กโขมยน้อยเพื่อความเป็นอยู่ เป็นเด็กขายดอกไม้ตามริมท้องถนน คอยหลบตามป้ายรถเมล์เวลาเจอตำรวจ เคยเป็นเพื่อนกับเด็กขอทานทั้งนั่งแถวสะพานลอย เวลาใครถามทำไมไม่ไปโรงเรียน ก็เนียนๆ บอกเรียน กศน. ทั้งๆ ที่ความจริงโรงเรียนฉันก็ไม่เคยได้เข้า !!!! แต่เชื่อมั้ยว่าความบากบั่นเท่านั้นที่จะนำเราไปถึงหลักชัย

        ขอเริ่มจากตรงนี้นะคะ...

        พ่อแม่ข้าพเจ้าเป็นคนยากจนในประเทศที่สุดแสนจะยากจน เร่ร่อนไปเรื่อยจนมาเจอเมืองไทย ทำงานตามร้านอาหาร เลี้ยงเด็กอ่อน อยู่กับกลุ่มมิจฉาชีพประปราย  ทำทุกอย่างเพื่อหาเงิน เงิน เงิน (ครั้งแรกแม่เล่าให้ฟังว่าอยู่บ้านไม้ย่านนนทบุรี ราคาเดือนละร้อยสองร้อย ก็จำไม่ได้)

        พ่อข้าพเจ้ามาก่อน หลบมาทางป่าจากฝั่งเขมรกับเพื่อนร่วมชะตาอีกสามคน (ปัจจุบันทุกคนถึงแก่กรรม รวมถึงพ่อข้าพเจ้า) ชายวัยสามสิบ สามคน มาถึงจังหวัดฉะเชิงเทรา โดยการนำพาของนายหน้า มีการเสียเงินนิดหน่อย เดินเลาะพอเป็นพิธี ก็เข้าถึงแผ่นดินไทย

        แม่เล่าให้ฟังว่าช่วงแรกไม่มีที่อยู่ พ่ออาศัยอาบน้ำตามตลาด รับแบกหามเป็นกรรมกร นอนตามสะพานลอย ซื้อข้าวเหลือจากแผงลอยตอนเขาเลิกขาย บางครั้งซื้อมาม่าดิบ เก็บไว้กิน พอมีเงินเก็บได้พอเป็นค่านายหน้า เช่าห้องไม้เล็กอยู่ หุ้นกะเพื่อนที่มา เงินพอเหลือให้นายหน้าพาแม่ข้าพเจ้ามา (ที่ต้องมาเพราะแม่ข้าพเจ้าไม่สามารถอยู่ที่ประเทศกัมพูชาได้ เนื่องจากเหตุการณ์สงครามช่วงปี 1990 - 1992 ถ้าจำไม่ผิด)

        อยู่กันสองสามีภรรยาจนพอมีเงินเก็บ คิดว่าชีวิตเราคงรอดแล้วจึงมีการนำลูกสาวมา (ที่ต้องมาเพราะไม่มีคนดูแล ยายข้าพเจ้าแก่มาก และพี่น้องของแม่ก็แต่งงานมีลูกเยอะ ไม่สามารถดูแลข้าพเจ้าและน้องสาวได้ ที่บ้านเรา ทำนาไร่ แม่จึงคิดว่าพาเรามาอยู่ด้วยดีกว่า และแน่นอนการมาของเราทั้งครอบครัวนั้น ไม่มีเอกสารใดๆ ใช้วิธีหลบหนีเท่านั้นจ้า เพราะอะไรน่ะหรือ เพราะประเทศเราเป็นคอมมิวนิสต์ เราไม่สามารถทำเอกสารเดินทางได้ หากเราไม่เงินหรือทรัพย์สินที่จะทำให้รัฐเชื่อว่าเรามีความสามารถที่จะออกนอกประเทศได้ แน่ละฉันมาเพื่อหางานย่อมผิดตามหลักกฎหมาย แต่ปัจจุบันง่ายละ เพราะกฎหมายเริ่มหยวนๆ กัน หากไม่มีหนี้สินที่ติดรัฐ จะไปไหนก็ไม่มีใครห้าม)

        เมื่อตอนข้าพเจ้าเป็นเด็ก มาเมืองไทยตอนประมาณ​ 5 - 6 ขวบ อาศัยความเป็นเด็ก เนียนๆ เล่นกะเด็กห้องข้างๆ ไปๆ มาๆ พอสื่อสารได้ ช่วงนั้นจำได้ ที่พักมีพี่นักศึกษาพักหอใกล้ๆ เย็นๆ มีลงมาช่วยสอนให้อ่าน ก-ฮ  แม่ ข้าพเจ้าแรก ๆ ก็กลัว กลัวเขารู้ว่าเราเป็นต่างด้าวแล้วแจ้งตำรวจ แต่คนไทยใจดีและมีน้ำใจกว่านั้นนะเออ ไม่มีใครทำแบบนั้นสักคน จำได้ ป้าๆ ขายข้าวแกงยังให้ขนมบ่อย ๆ ตอนไปเล่นกะลูกเขา มีการให้หนังสือเด็กที่ใช้แล้ว น้ำใจที่เขาหยิบยื่นให้ ข้าพเจ้าก็ไม่เคยลืมนะเออ มีทุกวันนี้ได้เพราะสิ่งที่ป้าๆ ยื่นให้  (มีคำถามทิ้งไว้แล้วจะมาตอบต่อ) ช่วงนี้ถ้าจำไม่ผิดเราย้ายไปอยู่แถวคลองตัน

        วันเวลาผ่านไป 2-3 ปี ข้าพเจ้าสื่อสารภาษาไทยได้แบบไทยจริงๆ ไทยแท้ สำเนียงไม่มีตกหล่น เว้าได้ทั้งเหนือ อิสาน กลาง (แน่ล่ะ อยู่กะป้าขายส้มตำยันข้าวแกงปักษ์ใต้ )

        พ่อของข้าพเจ้าเริ่มติดเหล้า เงินทองอันน้อยนิดที่หาได้เริ่มไม่พอ แม่ ข้าพเจ้าก็พาไปขายดอกไม้ตอนกลางคืน ตามร้านอาหาร RCA หน้า เซ็นทรัลเวิลด์ ถนนข้าวสาร (มีคนสอนให้พูดคำว่า เต็น(เท็น) ทเวนตี้ วันฮันเดร็ด ก็ตอนนี้แหละ ปลื้มสุด จำได้บอกฉันพูดภาษาที่สาม 5 5 5 เจอพวกผมทองตัวใหญ่ๆ ขาวๆ ให้รีบวิ่งเข้า เพราะฝรั่งอ่ะรวย แถมซื้อง่าย บางทีให้เงินแบบไม่เอาของ อันนี้เด็กเก่าบอกเด็กใหม่ ไปๆ มาๆ มีเด็กแอบขโมยของเยอะขึ้น กลายเป็นว่าช่วงหลังบางร้านห้ามคนขายดอกไม้เข้า (เด็กยุคใหม่ที่ยืนขายตอนนี้ทำมาหากินยากน่าดู) เรียกได้ว่าเป็นเด็กที่ได้เข้าผับเร็วสุด ๆ

        แต่ใช่ว่าอาชีพเราจะทำคนเดียว ไปๆ มาๆ มีเพื่อนจาก พม่า เขมร ลาว เวียดนาม (ยุคนั้นฟิลิปปินส์ยังไม่เข้า แต่ก็ถือว่าอินเตอร์เนชั่นแนลเลยทีเดียว) รายได้คืนละ 200 - 300 บาท หักทุน ถือว่าเป็นที่น่าพอใจ

        ตื่น 6 โมงเย็น อาบน้ำแต่งตัว แม่พาไปขายดอกไม้ แม่จะหลบอยู่หลังร้านอาหาร ข้าพเจ้ากะเพื่อนร่วมงาน (เด็กขายดอกไม้) จะไปด้วยกันประมาณ 4-5 คน ดอกไม้ หมากฝรั่ง ยืนตื๊อ บอกเรื่องราวแบบน่าสงสาร เช่น มีน้องอีกสามคนที่บ้าน ยังไม่ได้กินข้าว ไม่มีตังค์ไปโรงเรียน ยากจนโน่นนี่นั่น ขายไปเรื่อยๆ พอดูเวลา 1 ชั่วโมงให้รีบกลับมาหาแม่ที่จุดนัดพบ ถ้าเด็กคนไหนหายไปสักสองชั่วโมง เป็นอันรู้กันว่าถูกตำรวจจับ หรือเดินหลง (ซึ่งก็จะมีเจ้าถิ่นหาให้ หรือตำรวจมาเก็บเงินกับคนเป็นแม่)

        ขายดอกไม้ใช่ว่าง่ายนะคะ ต้องคอยหลบพวกการ์ด สาวบาร์ เพราะเขาไม่ให้เข้าไปในร้าน ทีนี้เราก็ลอดไปทางหลังครัว ซอกแซก บางวันมีอาหารให้กินด้วยนะเออ อ่ะ พอสักตีสาม ตีสี่เราก็จะเรียกตุ๊กๆ ไปปากคลองตลาด แม่ๆ ทั้งหลายก็ไปซื้อดอกไม้ กระดาษ สำหรับทำของ ส่วนหนูๆ อย่างเราก็ไปยืนรอ ประมาณหกโมงก็กลับบ้านนอน ห้ามออกไปข้างนอกจนกว่าสามโมงเย็น (เพราะเด็กปกติจะอยู่ในโรงเรียนจนถึงสามโมงเย็น โรงเรียนเลิกเราค่อยออกมา เลี่ยงการตอบคำถาม ทำไมไม่ไปโรงเรียน)

        ข้าพเจ้ารักแม่ที่สุดในชีวิตก็ต้องเป็นช่วงนี้แหละ เพราะแม่ต้องคอยดูแลน้อง อายุห่างจากข้าพเจ้าสี่ปี ต้องดูแลพ่อ(ขี้เมา) ต้องทำดอกไม้ให้ข้าพเจ้า ให้ ข้าพเจ้าไปขาย ครั้งแรกทำไม่เป็น ถามใครก็ไม่มีใครสอน แม่ข้าพเจ้าเลยไปหยิบดอกที่เขาทำแล้วไม่สวยมาจากถังขยะ มาแกะและทำใหม่ จนรู้วิธีแล้วหาทุนสี่ร้อย ไปซื้อดอกไม้มาทำขาย อย่าคิดว่า แม่ข้าพเจ้าจะสบายรอลูกไปขายดอกไม้อย่างเดียวนะ หากคืนไหนที่แม่ข้าพเจ้าต้องรอข้าพเจ้าไปขาย แม่ก็ต้องนอนหลบแถวสะพานมืดๆ บางวันอดเพื่อให้ข้าพเจ้าได้กินอิ่ม   มีครั้งหนึ่งข้าพเจ้าขายดอกไม้ได้ 30 บาท น้องและข้าพเจ้าก็หิวมากกกกก แม่ควักเอาเงินนั้นไปซื้อข้าวผัดมากล่องนึง ให้เราสองคนกิน พอถามแม่กินมั้ย แม่บอกกินเถอะแม่อิ่มแล้ว สักพักเห็นแม่ไปกินน้ำประปาที่ก๊อก เป็นสิ่งที่ ข้าพเจ้าไม่มีวันลืมเลย

        แม่นอนวันละแค่สองชั่วโมงเกือบทุกวัน เพราะกลางวันรับจ้างรีดผ้า ทำดอกไม้ ทำกับข้าว จนถึงหกโมงพาข้าพเจ้าไปขายของ แล้วค่อยอาศัยนอนตอนนั้นแทน เชื่อเลยล่ะรักใครก็ใหญ่ไม่เท่ารักของแม่

        ชีวิตเราวนไปวนมาแบบนี้ จนข้าพเจ้าอายุ 10-11 ขวบ (จำไม่ได้เพราะนานมากแล้ว) . . . . เหตุการณ์บางอย่างก็เกิดขึ้น เป็นจุดเปลี่ยนชีวิตข้าพเจ้าเลย  . . .

        จากการเป็นเด็กขายดอกไม้ หมากฝรั่ง มาหนึ่งปี ด้วยความเป็นเด็ก ข้าพเจ้าไม่เคยตระหนักถึงความอันตรายที่อยู่รอบตัวเองเลย จนกระทั่งวันหนึ่ง เพื่อนชาวเวียดนามที่ขายดอกไม้ด้วยกันได้หายตัวไป . . .  ขอเรียกเธอว่า เปรียว เปรียวอายุประมาณ 14 ปี จำได้ว่าเหมือนเธอจะสวย สูง ขาว ผมยาว หน้าตาน่ารัก หลายครั้งที่ไปขายของด้วยกัน เปรียวจะขายได้ค่อนข้างเยอะ ด้วยความว่าสวยหวาน พอๆ กับดอกไม้ (มั้ง อันนี้แม่บอก)

        คืนนั้น ข้าพเจ้าและเปรียว พร้อมกับเพื่อนอีกสองคนก็เดินขายกัน โดยแยกไปคนละร้าน คนละบาร์ เพื่อที่จะไม่แย่งลูกค้ากัน แต่พอออกมา รอแล้วรออีก ข้าพเจ้าและเพื่อนๆ ก็ไม่เจอเปรียวสักที ผ่านไปจนถึงเวลานัดเจอแม่ๆ  ข้าพเจ้าและเพื่อนก็คิดว่าเปรียวคงกลับไปหาแม่เธอแล้ว แต่ในความเป็นจริงคือ ไม่มี ! เปรียวหายไป หายไปแบบไร้ร่องรอย คืนนั้นข้าพเจ้าและคนส่วนที่เหลือเริ่มออกมาตามหาเปรียว หาถึงเช้าก็ต้องแยกย้ายกันกลับ เพราะไม่มีใครอยากเสี่ยงเจอตำรวจ เพราะอาจโดนเก็บเงิน หรืออาจถูกส่งตัวไปโรงพักจากนั้นถูกส่งไปบ้านเกิด ชีวิตใครๆ ก็รัก ดังนั้นไม่มีการตามหา หลายคืนผ่านไป การหาตัวเปรียวก็ไม่ประสบความสำเร็จ นายหน้าที่พาเปรียวมาก็แจ้งไปทางพ่อแม่ของเปรียวที่บ้านว่าเปรียวหลงหายไปซึ่งไม่รู้ชะตากรรมเป็นเช่นไร

        ที่ข้าพเจ้าเขียนคำว่านายหน้า เพราะพ่อแม่ของเปรียวติดหนี้ ไม่มีเงินจ่าย เลยต้องส่งตัวลูกสาวมาทำงานให้นายหน้าใช้หนี้แทน ซึ่งนายหน้าพวกนี้ก็จะใช้งานเด็กหลายอย่าง เช่น ขายดอกไม้ ส่งยา ดูบ่อน ขอทาน ก็แล้วแต่ว่าอายุและหน้าตาพอจะทำอะไรได้ ที่สร้างเงินให้เขาได้ เขาก็เอาทั้งนั้น
เหมือนหนังใช่มั้ยคะ?​

        แต่ความเป็นจริงชีวิตของพวกเขาโหดร้ายกว่านั้นเยอะค่ะ หลังจากสิ่งที่เกิดขึ้นกับเปรียว แม่ของข้าพเจ้าเริ่มเกิดความกังวลและเป็นห่วง เราสามคน แม่ ข้าพเจ้า น้องสาว (ส่วนพ่อช่วงนี้อยู่กับขวดเหล้าและบ่อน) ก็วางแผนหางานใหม่ทำ เพราะ 1.ข้าพเจ้าเริ่มเป็นสาว เดินขายดอกไม้ เจอแต่คนเมานั้นไม่ดี (จริงๆ ก็ไม่ดีตั้งแต่แรกอ่ะนะ แต่ตัวเลือกครอบครัวเรามันน้อย ) 2.เสี่ยงต่อการโดนจับ และหากถูกส่งกลับประเทศอ่ะ เรื่องใหญ่ๆ เผลอ ๆ ไม่มีสิทธิ์มา

        ทีนี้แม่ของข้าพเจ้าก็เริ่มทำงานในบ่อน บ่อนคนบ้านเดียวกันและคนไทย ตามสลัมนี่แหละค่ะ ชีวิตมันต้องเถื่อนและดิบ แม่เริ่มทำอาหารขายในบ่อน (ผีพนันชอบขี้เกียจ) รับจ้างซื้อของใช้จุกจิก บางทีแม่ไปกะบ่อนหลายๆ วัน ทิ้งเงินใว้ให้ข้าพเจ้าและน้องกินสักสองร้อยบาท แค่นี้ก็อยู่ได้เป็นอาทิตย์  ช่วงไหนแม่โดนตำรวจจับในบ่อน คนบ้านเดียวกันก็จะแวะมาเอาเงินให้ยืม แล้วรอเจ้าบ่อนประกันตัวแม่ออก (ส่วนมากไม่โดนเพราะทุกอย่างคือเรื่องของเงิน ถึงโดนก็ไถ่ออกได้ในนามบ่อน)

        สิ่งหนึ่งที่แม่มักสอนเสมอและบอกว่า แม่ยอมลำบากทุกอย่าง ขอแค่ข้าพเจ้าและน้องไม่ไปพัวพันกับยาเสพติด การพนัน และเป็นนักลัก(ทรัพย์)แบบคนรอบตัวเราที่ทำ

        ดังนั้นมีบางครั้ง บ้านเราโดนตัดไฟ(หลายเดือน) ตัดน้ำ(บางเดือน) อดมื้อกินมื้อ แต่เรามีกันและกัน มีคนที่ไว้วางใจ  มันก็ทำให้เราอบอุ่นใจถูกมั้ยคะ มีครั้งนึงเรานั่งกินข้าวกัน จุดเทียน ห้องข้างๆ เปิดทีวี พัดลม มีไฟฟ้าให้ใช้ ไม่ต้องไปอาบน้ำในตลาด หรือห้องเพื่อนบ้าน คุณเชื่อมั้ยว่านั่นคือสิ่งที่ข้าพเจ้าไฝ่ฝัน -_- ตามจริงไม่เว่อร์เลยนะ บ้านเราอาบน้ำ สองวันครั้ง ข้าพเจ้าไปกดน้ำลิตร รอเอาน้ำฝนมาอาบ เพราะเราไม่มีตังค์จ่ายค่าห้องจริง ๆ  เรายืมใครไม่ได้ เพราะไม่มีใครให้เรายืม  ชีวิตเรารันทด แต่เราก็อยู่แบบมีความสุขของเรา โดยไม่เอาชีวิตไปเสี่ยงต่อคุกมากกว่าที่เป็นอยู่

        วันนึงข้าพเจ้าตั้งจิตภาวนาแบบนี้ค่ะ ถ้าโลกนี้มีพระเจ้า จะเป็นองค์ไหน ศาสนาไหนก็แล้วแต่ หนูจะบอกว่า หนูขอให้ได้มีโอกาสเรียนหนังสือ หนูขอให้บ้านมีไฟฟ้าใช้ หนูขอให้ได้อาบน้ำวันละสองครั้ง เพราะหนูตัวเหม็นมาก และที่สำคัญหนูขอให้ตัวเองได้มีงานทำ มีอนาคตดีๆ หนูไม่อยากอยู่ในห้องสี่เหลี่ยมอีกต่อไป...คุณรู้มั้ยพระเจ้าตอบจริงนะเออ ชีวิตเปลี่ยนแบบไม่มีเวทมนต์ แต่เปลี่ยนด้วยความมานะและอดทน

        เมื่อแม่ข้าพเจ้าได้ทำงานในบ่อนมาระยะหนึ่ง โดนจับหลายต่อหลายครั้ง สุดท้ายเราตัดสินใจออกมาค้าขาย เงินเราไม่มีนะคะ จินตนาการเราขายทีวี สินค้าที่ไม่ได้ใช้และดูเหมือนมีค่าที่สุดในบ้าน (จำได้ยี่ห้อ ger อะไรสักอย่าง เล็ก) ได้ราคา 400 บาท เคาะตามตู้โทรได้อีกเกือบร้อยบาท และเงินในกระเป๋าที่ทั้งสามแม่ลูกมีอีกประมาณ​ 500 บาท เอาเงินทั้งหมดไปลงสำเพ็งค่ะ ใช่ค่ะ แม่และข้าพเจ้าไปสำเพ็งซื้อกิ๊ปแผง หนังยางแบบโลๆ แปรงสีฟันยกแผง และหวีแบบโหลๆ ซื้อมาแบ่งขาย เทหมดตักประมาณ 700 บาท เหลือนิดหน่อยพอค่ารถกลับบ้าน

        อ่อ.. บอกนิดนึง ตอนนั้นเขามียุคทำบัตรต่างด้าว ครั้งแรกเนี่ยไม่ต้องมีนายจ้างก็ทำได้เลย แม่ข้าพเจ้ายอมควักเนื้อ แบบทำงานหนักสุดๆ เพื่อเก็บเงิน 5000 บาท มาทำบัตรต่างด้าว พร้อมจ้างคนมารับรองว่าเป็นนายจ้าง ตอนนั้นลงหน้าบัตร ค้าขาย เราไม่ใช่กัมพูชานะจ๊ะ แต่แม่และข้าพเจ้าพูด กัมพูชาได้ เพราะเคยอพยพไปอยู่ เราเลยแอบอ้างไป เพราะไม่มีการสอบสัญชาติและมีนายจ้างรับรองเหมือนตอนนี้ แต่ต่อครั้งที่สามเนี่ยทำไม่ได้ เพราะมีการพิสูจน์ว่าต้องเป็นเฉพาะ 3 ประเทศเพื่อนบ้านเท่านั้นที่ทำได้ ซึ่ง ครอบครัวข้าพเจ้าไม่ใช่หนึ่งในนั้น อ่ะๆ อยากรู้อ่ะจิ ว่าเราเป็นอะไร งั้นทายไปๆ เดี๋ยวจะบอกตอนจบ ใบ้ให้ไม่ใช่ ไทย ลาว เขมร และไม่ใช่พม่า

        ครั้งแรกไปแย่งที่ขายตามตลาดนัด ปกติเขาจะมีเจ้าประจำ ข้าพเจ้าก็รอ รอ รอ จนมีคนมายืนยันว่าตรงนี้ว่าง เราก็ไปขาย ปูผ้าพลาสติกผืนนึง เทของรวมๆ กัน ทุกอย่าง 20 บาท 2 อย่าง 30 บาท วันแรกขายได้ 150 จำได้ว่าน้องสาว ข้าพเจ้ารีบไปซื้อสเลอปี้ใน 7/11 กินฉลอง  5 5 5 มีความสุขมากค่ะ ครั้งแรกในปีที่ได้ออกมากลางวัน นั่งขายของทำเนียนเหมือนเราเป็นคนไทย...

        แต่รายจ่ายเราเยอะค่ะ เยอะมาก สามชีวิตที่ต้องกิน ต้องใช้ ขายยังไงก็ไม่พอ ข้าพเจ้าตัดสินใจไปสมัครงาน เรียกว่ากล้าสุดๆ วุฒิไม่มี อาศัยรู้ภาษาไทย อ่านออก เขียนได้

        ณ ตอนนี้ ข้าพเจ้าอายุ 15 ปี บริบูรณ์...

        ทีนี้ทำงานอะไรดีล่ะ ?​ เป็นเด็กขายของหน้าร้าน ?​ ไม่ได้ เพราะเขาต้องการให้เป็นเด็กอยู่เฝ้าร้าน แต่แม่ข้าพเจ้าต้องการให้กลับบ้านตอนเย็น เป็นคนเลี้ยงเด็ก ? ก็ไม่ได้ หน้าเด็กน้อยแบบนี้ใครจะมาเชื่อใจเราให้ดูแลลูกเขา

        ร้านอาหารละกัน ?​ ไม่ใช่ไม่ดีนะ แต่ร้านใหญ่ตอนนั้นรับคนไทย เด็กฝึกงานง่ายกว่ารับต่างชาติ ตำรวจรู้อ่ะยุ่ง ร้านที่รับก็ไม่ไหว เห็นแล้วละเหี่ยใจ จะให้ไปนั่งกะแขก ใครจะไป ถูกมั้ย ?​

        ไปๆ มาๆ ได้งานออฟฟิศ เป็น GB เจนเนรัล เบ๊​ ทำตั้งแต่กวาดบ้าน ป้อนอาหารหมา ส่งเอกสาร ยันผู้ช่วย เงินเดือนเยอะว้าก 3,000

        บทสนทนาตอนสมัครงาน จำได้จนขึ้นใจ...

        นายจ้าง : บอกความสามารถเรามาซิ  Excel Word PPW อะไรแบบนี้ทำได้มั้ย
        ข้าพเจ้า: สตั๊นไปสามวิ...หนูไม่รู้ว่าที่พี่พูดถึงมันคืออะไร แต่หนูพร้อม และไวในการเรียนรู้ค่ะ
        นายจ้าง: งั้นบอกมาซิ ทำไมพี่ต้องจ้างเรา ดูๆ แล้ว เราไม่รู้เรื่อง สนง. แถมเป็นแรงงานเถื่อนด้วยนะ (โหยยย.. แรง ฟังแล้วเจ็บจี้ดๆ)
        ข้าพเจ้า: เพราะพี่สามารถประหยัดค่าใช้จ่าย หนูเรียกเงินเดือนถูก หนูพร้อมทำงานดึก หนูไม่เกี่ยงงาน และหนูพร้อมที่จะเรียนรู้ หนูยอมให้พี่ทดสอบ สามวัน ถ้าไม่ผ่าน หนูเข้าใจค่ะ แต่หนูขอโอกาส (พร้อมทำตาปริบ ๆ)

        ไม่รู้ว่าเขาเมา หรือข้าพเจ้าตาหวานพอ สุดท้ายเขารับค่ะ กลับบ้านบอกแม่ด้วยความภาคภูมิใจ "แม่..หนูได้งาน เป็นงานสำนักงานนนนน"  บ้านอยู่ไกลจากที่ทำงานมากค่ะ ย้ำว่ามากกกกก... นั่งรถเมล์ ต่อรถตู้ วันไหนมีเวลาก็รอรถเมล์ เพราะมันถูก

        เมื่อเขาจ่ายเงินเดือนเราแค่ 3,000 ข้าพเจ้าต้องใช้ไม่เกินวันละ 80 บาท 80 x 30 = 2,400 สิ้นเดือนมีเงินเก็บ 600 ถือว่ากำไรสุดๆ

        เช้าตื่นมานั่งรถเมล์สีแดง 4 บาท สีขาวฟ้า 5 บาท พักเที่ยงกินนมกล่องถั่วเหลือง 15 บาท กล่องใหญ่ยักษ์สีฟ้า...อิ่มยาวว กลับบ้าน กินข้าว ใช้ยังงั้ยยังไงก็ไม่หมด 80 บาท ประหยัดได้สักสามสี่วันค่อยมากินข้าวผัดหน้าออฟฟิศ 25 บาท กินที อิ่มใจ อิ่มท้อง มีความสุขสุด ให้ดีต้องเป็นผัดกุ้งทะเล 30 บาท อ่ะนะ

        ชีวิตใช่ว่าจะราบรื่นอย่างละคร อยู่ดีๆ มีคนมาบอกช่วยให้น้องและข้าพเจ้าเข้าเรียน และสามารถเปลี่ยนสัญชาติได้ บ้านเราตาโต การได้สัญาติไทยคงเป็นพรสูงสุดในชีวิตนี้ ยอมอีกค่ะ เงินเดือน เงินทุน กำไร เอาทุกอย่างไปให้คนที่บอกว่าทำได้ พอเขาได้เงินเขาหายไป หายไป หายไป กับกลีบเมฆ เราสามคนกอดคอร้องไห้ สู้กันต่อไป

        ช่วงระยะที่พูดถึงนี้ แม่ข้าพเจ้าเริ่มมีรายได้ดีขึ้นจากการขายของ เริ่มพัฒนามีการขายเสื้อผ้า รองเท้า ของเล่นเด็ก บ้านก็มีไฟฟ้าใช้แล้วถึงแม้อาจโดนตัดบ้างเป็นบางครั้งอ่ะนะ... ชีวิตเริ่มดีขึ้น ไม่มีบ่อน ไม่พัวพันกับพวกขายยา ติดพนัน แรงงานเด็ก วันๆ ทำงานกลับบ้าน มีแม่ มีน้อง โอ๊ย! ชีวิตมีความสุข วันไหนมีเงินเหลือเช่านิยายมาอ่านสักเล่ม ชีวิตนี่ฟินสุดๆ วันนั้น ไม่ต้องมีเงินขึ้น BTS ขอแค่นั่งรถเมล์แอร์ก็สุขใจแล้ว ไม่ต้องเข้าร้านอาหารญี่ปุ่นแพง แค่อาหารตามสั่ง 25 ก็ถือว่าเริ่ดแล้ว ไม่ต้องดูหนังโรงราคาหลักร้อย กลับบ้านมีไฟฟ้าให้เปิดพัดลม มีน้ำอาบ แค่นี้ยังหวังอะไรอีก??

        แต่มนุษย์คือมนุษย์ เมื่อได้แล้วก็อยากได้อีก พระเจ้าเลยต้องสอนนิดหน่อย ให้นะ ให้ฟรี แต่ต้องเรียนรู้ถึงคุณค่าของสิ่งที่อยากได้ ตอนต่อไป เมื่อฉันอยากเรียนหนังสือ ไม่ต้องสูงหรอก ขอแค่ ป.6 ชีวิตก็สุขขีแล้ว...

        หลังจากนั้นไม่นานพ่อของข้าพเจ้าก็เสียชีวิต ดื่มเหล้าเยอะเกินไปค่ะ และประสบอุบัติเหตุเส้นเลือดสมองแตก จากการจัดงานศพและความช่วยเหลือจากหลายๆ ท่าน ข้าพเจ้าและครอบครัวได้กลับภูมิลำเนา เพื่อทำหนังสือเดินทางเข้ามาอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ข้าพเจ้ามีความฝันว่าชั้นต้องได้เรียนและมีวุฒิบัตรเหมือนเด็กคนอื่น ๆ !!  เราต้องเดินผ่านป่า เข้าเขมร จนทะลุออกเวียดนามทางใต้

        หลังจากงานที่ออฟฟิศ และมีพาสปอร์ตของตัวเอง ข้าพเจ้าเริ่มมีความมั่นใจในการไปสมัครหลายๆ ที่ เช่นทำงานโรงงาน ร้านหนังสือ เด็กขายของตามบู๊ท ทำความสะอาดบ้าน เลี้ยงเด็ก ทำทุกอย่างที่เขาให้เราทำ จากเงินเดือน 3 พันบาท เพิ่มเป็น 5 พัน เขยิบมาถึง 7 พัน  อายุตอนนั้นประมาณ 18 ซึ่งถือว่าเยอะมากสำหรับข้าพเจ้า

        หลังจากได้พาสปอร์ตตอนอายุ 18 ข้าพเจ้าบึ่งไปสมัครเรียน กศน. ค่ะ

        สมัครมาแล้วหลายเขต ไม่มีที่ไหนรับ สุดท้ายมีโอกาสได้เจอเขตหนึ่ง ซึ่งอาจารย์ใจดีน่ารัก ยอมรับเข้าเรียน วันแรกที่ใส่ชุดนักศึกษา (เข้าเรียนชั้นประถม) แม่ข้าพเจ้าดีใจมากกกกกกกกก เรียกได้ว่ายืนส่งจนลูกขึ้นรถเมล์กันไปเลย

        ข้าพเจ้าตระหนักเสมอว่า การทำงานนั้นนอกเหนือจากวุฒิที่คุณมี คือคุณภาพในตัวของคุณ​ ข้าพเจ้าไม่เกี่ยงงาน จะเป็นงานจับหนอน กิ้งกือไส้เดือน เลี้ยงเด็ก คนแก่ ดูแลคนพิการ ทำหมด ขอแค่ไม่ผิดกฎหมาย ให้เรามีงานทำ มีคนให้โอกาสในการทำงาน คือพรอันประเสริฐแล้วค่ะ

        หลายครั้งทำงานพลาดเขาด่าว่า ไม่เป็นไร ตั้งใจทำใหม่ ไม่ได้เดี๋ยวก็ได้

        ข้าพเจ้ามีโอกาสได้ใกล้ชิดกับคนหลายรูปแบบ และในนั้นก็มีแต่เจ้านายที่น่ารัก และใจดี ให้โอกาส สอนงาน และให้ประสบการณ์

        ข้าพเจ้าเริ่มหันมาเรียนภาษาอังกฤษเอง ใช่ค่ะ พูดผิด พูดถูก พูดๆ ไปเถอะ เอาให้เข้าใจเป็นพอ ประกาศหาเพื่อนแลกเปลี่ยนภาษา ข้าพเจ้าสอนภาษาไทย เวียดนาม (ใช่ค่ะ.. ข้าพเจ้าเป็นเวียดนาม ไม่ใช่กัมพูชาจ้า!)  ให้เขาสอนอังกฤษ​ เรียนฟรี ไม่เสียตังค์

        พอได้ภาษา ข้าพเจ้าก็ไปสมัครงานที่ต้องใช้ภาษาอังกฤษ​ เริ่มตั้งแต่ พนักงานต้อนรับ เซลล์ ผู้ช่วย จนไปถึงล่าม ภาษาไม่เป๊ะแบบคนที่เรียนมา แต่พอเข้าใจ ความสามารถมากขึ้น  เพื่อความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ข้าพเจ้าก็เรียนภาคสุดสัปดาห์ และทำงานควบคู่กันไป

        พอโตมาหน่อยก็มีเรื่องความรัก เศร้า ๆ ทุกข์ๆ ดิบๆ สุขๆ คละเคล้ากันไป แต่ถ้าคุณมีความรักที่อิ่มจากครอบครัวแล้ว คือเกราะป้องกันที่ดีที่สุด ข้าพเจ้าอกหัก รักคุดมาหลายครั้ง แต่เชื่อมั่นค่ะ ว่ารักแท้เกิดจากการรักตัวเอง (ไม่ใช่เห็นแก่ตัว) และรักคนอื่นให้เป็น ก่อนที่ขอให้เขามารักเรา

        ปัจจุบัน ข้าพเจ้ายังเรียนไม่จบ (เริ่มเรียน กศน. ประถมตอน 18 คงจะจบโน่น 25 -26 ) แต่จะบอกว่าใครมองข้าพเจ้าเป็นโข่ง ข้าพเจ้าหาได้แคร์ไม่ 555 และตั้งเป้าด้วยว่าชั้นจะคว้าโท มาให้ได้

        ข้าพเจ้าเรียน เพื่ออนาคตตัวเองและเพื่อคนที่ข้าพเจ้ารัก

        ข้าพเจ้ามีความสุขกับงานที่ทำ ได้ภาษา ทักษะการต่อรองและที่สำคัญได้เจอคนหลายรูปแบบ

        ข้าพเจ้าก้าวมาถึงจุดที่บอกว่า ขอบคุณพระเจ้าองค์นั้นที่ฟังหนู วันนี้หนูมีน้ำอาบ มีไฟฟ้าใช้ มีโอกาสได้เรียน มีงานทำและมีโอกาสที่จะเติบโต ได้ไปหลายๆ ที่ ไม่ได้อยู่ในกล่องสี่เหลี่ยมอย่างเดียว

        และที่สำคัญได้อยู่อย่างถูกต้องตามกฎหมายเว้ยยยยยยยยยย เจอตำรวจไม่กลัวแล้ว หุหุหุ!!

        เรามาถึงเนื้อหาที่สำคัญกันเถอะค่ะ

        อยากจะฝากไว้ว่า อย่าเกี่ยงเงินน้อย อย่าคอยวาสนา นั้นจริงที่สุด คุณต้องทำมันเดี๋ยวนั้น

        ทำเถอะถ้ามีงานให้ทำ เรียนเถอะ ถ้าคุณมีโอกาสเรียน จะช้า จะเร็ว คุณก็จบ หากคุณตั้งใจ

        ที่สำคัญคือใจต้องสู้ ! ยิ้ม ถ้าคุณทำได้คุณจะภูมิใจในตัวเองมาก ๆ ฝันให้ไกล อาจไปไม่ถึง แต่การได้ก้าวออกมาจากจุดเริ่มต้น ก็นับว่ายิ่งใหญ่แล้ว

        ข้าพเจ้าอยากให้ทุกคนที่มีลูกจ้าง พม่า กัมพูชา ลาว หรือเวียดนาม หากเด็กคนนั้นดูแล้วเป็นคนรักเรียน มีใจใฝ่รู้ อยากวอนที่จะให้โอกาสเขา เข้าเรียน กศน. ไม่มีค่าใช้จ่ายอะไรเลย ถึงมีก็น้อยนิด เทอมละไม่ถึงห้าร้อยบาท ! ขอแค่ให้เขามีวันหยุดวันอาทิตย์ เพื่อไปเรียน และต่างชาติสามารถเรียนได้ !

        สิ่งสุดท้าย หากคุณมีโอกาส ขอให้เผื่อแผ่ไปให้คนที่เขาขาด ข้าพเจ้าคงไม่มีวันนี้ หากปราศจากน้ำใจของคนที่คอยสอนภาษาตั้งแต่ตอนเล็ก คงไม่มีวันนี้หากไม่มีโอกาสทำงาน และไม่มีวันนี้หากปราศจากน้ำใจของทุกคน ยิ้ม ขอบคุณประเทศไทย เมืองไทย คนไทย ขอบคุณในน้ำใจของทุกคนที่เผื่อมาให้ ขอบคุณในโอกาส และขอบคุณเวลาของคุณๆ ที่สอนงาน

        ในรายละเอียดของการเป็นต่างชาติแรงงานในเมืองไทย มีรายละเอียดเยอะ หากใครมีคำถามให้ส่งมา ข้าพเจ้าตอบได้ จะตอบเป็นรายๆ ไปนะคะ เรื่องวีซ่า การเดินเอกสารขอเรียนสำหรับต่างด้าว ที่เกี่ยวกับต่างด้าว หากมีข้อสงสัยสามารถสอบถามได้ค่ะ  ไม่คิดว่าจะยาวขนาดนี้ เพื่อไม่เป็นการยืดเยื้อจะตอบคำถามเป็นรายๆ ไปนะคะ (ยิ้ม) ขอบคุณที่ตามอ่านค่ะ.

        *** เพื่อเป็นการไม่เข้าใจผิดนะคะ ข้าพเจ้าไม่ได้เขียนเพื่อสนับสนุน การเข้ามาแบบผิดกฎหมาย อย่างที่ข้าพเจ้าเคยเป็น ข้าพเจ้าเขียนเพื่อบอกเล่า เรื่องราว ประสบการณ์ และด้วยใจขอบคุณเมืองไทยที่ให้โอกาสในการศึกษาโดยไม่เกี่ยวสัญชาติ  ข้าพเจ้าเชื่อว่า การศึกษาคือการให้โอกาส ให้แนวคิดและเป็นสิทธิ์ที่เด็กทุกคนควรได้รับ ไม่ว่าเขาจะมาจากไหน ให้การศึกษา เพื่อสร้างด็กคนหนึ่งให้เป็นคนคิดเป็น มีความรู้ ไม่บิดเบือน ไม่นำมาซึ่งความเดือดร้อน เพราะข้าพเจ้าเชื่อในเรื่องของการปลูกฝังเด็ก ให้เขาได้มีโอกาสสร้างอนาคตของตนเอง หากตรงไหนไม่ชัดเจน ข้าพเจ้าต้องขออภัยค่ะ ***

        ที่มา: พันทิปดอทคอม