ตามหลักของพระพุทธศาสนา คนที่จะเป็นโจทก์ฟ้องพระ จะต้องเป็นภิกษุด้วยกันหรือเป็นอนุปสัมบันอุบาสกอุบาสิกา พระวินัยเรียกว่า "คนที่น่าเชื่อถือ" ซึ่งจะต้องมีคุณสมบัติ 5 ประการคือ 1 มีศรัทธามั่นคง 2 มีศีลห้าศีลแปด 3 ไม่หลงงมงายตื่นข่าว 4 เข้าวัดทำบุญประจำ 5 ไม่ไปทำบุญในศาสนาอื่น
ดังนั้น ถ้าท่านใดคิดจะไปว่ากล่าวตักเตือนโจทก์พระหรือด่าพระ ท่านต้องมั่นใจว่าตนเองว่า มีคุณสมบัติดังกล่าวนี้แล้วหรือยัง ถ้ายังไม่มีสักข้อก็อย่าริบังอาจไปด่าว่าพระเสียๆหายๆ โดยเฉพาะในสื่อโซเชียลมีเดีย มีคนด่าพระทุกวันและรุนแรงมากขึ้น แต่ดูแล้วมิใช่คนที่นับถือพุทธจริงๆ แม้แต่คนใกล้ชิดรัฐก็ยังด่าพระ
วิธีตรวจดู ว่าคนนั้นสมควรด่าพระได้หรือไม่ ก็ไม่ยาก เข้าไปดูโปรไฟล์ของเขา ดูว่ามีภาพที่เขาเคยโพสต์ไปวัดหรือทำกิจกรรมบุญอะไรบ้างไหม ถ้าไม่มีแสดงว่าคนนั้นเป็นพุทธเถื่อนที่มาทำลายพุทธแท้
ทำไมพระพุทธเจ้าจึงทรงบัญญัติให้สิทธิ์คนที่มีคุณสมบัติ 5 ข้อนั้น ให้สามารถกล่าวฟ้องโจทก์พระ ว่ากล่าวตักเตือนพระได้ เหตุผลก็เพราะว่า บุคคลนั้นเป็นผู้นับถือพระพุทธศาสนา เป็นหนึ่งในพุทธบริษัทสี่ ชาวพุทธแท้ย่อมมีความรักปรารถนาดีต่อกัน รู้พระธรรมวินัยวินิจฉัยผิดถูกได้ ว่าตักเตือนด้วยจิตที่เมตตา ไม่มีอคติลำเอียงคิดจะทำร้ายกัน และเพื่อจะได้ช่วยกันดูแลรักษาพระพุทธศาสนาให้มั่นคงถาวรอยู่ได้ตลอดไป และเป็นผู้มีส่วนได้ส่วนเสียกับพระพุทธศาสนาโดยตรง !!
ส่วนคนที่ปากบอกแต่ว่า ตนเองเป็นชาวพุทธ เพียงแค่นับถือแต่ในทะเบียนบ้านเท่านั้น แต่มีพฤติกรรมนิสัยก้าวร้าวหยาบคาย ชอบแต่ด่านินทาพระ ในชีวิตไม่เคยเข้าวัดทำบุญใดๆเลย พวกนี้จึงไม่มีสิทธ์ิที่จะไปว่ากล่าวตักเตือนหรือด่าพระได้แม้แต่นิด เพราะเขาไม่ใช่ชาวพุทธที่แท้จริง ไม่มีส่วนที่จะช่วยทำให้พระพุทธศาสนาเจริญมั่นคงได้ ตรงกันข้ามมีแต่ทำลายให้พินาศ
เราจะต้องเขียนกฎหมายคุ้มครองพระพุทธศาสนาให้มีเนื้อหาข้อนี้ไว้ด้วย
ทุกวันเห็นพวกโพสต์ด่าว่าพระ...ไอ้พวกโล้นเหลืองหากินอยู่สุขสบาย ผมรู้สึกหดหู่ใจ จึงย้อนมามองดูตัวเอง... เอ่.. เราบวชเพื่อหากินไหม ? เรากอบโกยอะไร ? เราสุขสบายไหม ? เราเอาเปรียบสังคมไหม ? พอพระไปช่วยสังคมก็ยังมีคนด่าว่าไม่ใช่กิจสงฆ์ ? อยู่เฉยๆก็ว่าพระขี้เกียจ ? ตกลงจะให้พระทำอะไร ? เอาแต่หลับตาซั่นบ้อ !!!
คำตอบคือ #เราทุ่มเททำงานเหนื่อยมาตลอด จนเบื่อกับชีวิตอยากจะสละหนีไปแล้ว
บวชมา 30 ปี มีตำแหน่งพระครูมา 5 ปีได้รับนิตยภัต(เงินเดือน)รัฐถวายรวมทุกตำแหน่งเดือนละ 3,400 บาท ก็พออยู่ พอได้ค่าอาหารค่าหมอค่ายาค่ารถเดินทางไปศาสนกิจบ้าง แต่ก็ยังไม่พอใช้ ไม่มีคนปวารณา กิจนิมนต์นานๆทีมีครั้งจะได้ไปสวดก็ตามแต่เจ้าภาพจะถวาย ได้มาก็ทำบุญต่อ บริจาคบ้าง ก่อสร้างบ้าง
ถ้าบวชแล้วสุขสบาย ร่ำรวย คงจะมีคนมาบวชล้นวัด และเราคงไม่ปล่อยให้พ่อแม่ญาติพี่น้องอยู่ลำบากยากจนทนทำนาดอก บักหำน้อยเอ้ยๆๆๆ
#โพสต์ให้คิดเล่นๆเผื่อหูตาจะสว่างบ้าง
ขอบคุณข้อมูลจาก FB:พระครูสิริสีมาภรณ์ ดร.สถาพร
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น