วันพุธที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2562

พระอรหันต์ อยู่ไหน ?

พระอรหันต์ อยู่ไหน ?

เมืองจีนนั้นมีตำนานปรัมปราอยู่เรื่องหนึ่งว่ากันว่า  มีชายหนุ่มคนหนึ่งหลงใหลในเครื่องรางของขลังและผู้วิเศษขุนขลังขมังเวทย์มาก วันหนึ่งเขาได้ข่าวว่ามีพระธุดงค์มาจำพรรษาอยู่บนยอดเขาชาวบ้านเล่าลือกันว่าพระรูปนี้เป็น พระอรหันต์ จึงแตกตื่นพากันไปกราบไหว้วันละเป็นหมื่นคนพอชายหนุ่มได้ข่าว ก็รีบลาแม่เพื่อไปหาพระอริยบุคคลบนยอดเขา

ผู้เป็นแม่นั้นรักลูกมาก  แม้จะอายุมากจนหูตาฝ้าฟาง  แต่เมื่อลูกมาขออนุญาตเธอก็ไม่คิดจะห้าม

“ไปเถอะลูก  ถ้าเป็นความสุขของลูกแม่อยู่คนเดียวได้ ไม่เป็นไรหรอก”

ลูกชายเดินทางเจ็ดวันเจ็ดคืนจึงถึงยอดเขา  เขารอจนพลบค่ำจึงมีโอกาสได้เข้าไปกราบพระธุดงค์ที่มีหนวดเครายาวเฟื้อยเขาถามเข้าประเด็นทันทีว่า

“หลวงปู่ครับ  คนเขาลือกันว่าหลวงปู่เป็นพระอรหันต์  ผมบุกป่าฝ่าดงมาไกลแสนไกล  เพราะอยากรู้ว่าหลวงปู่เป็นพระอรหันต์จริงหรือไม่  ถ้าจริง  ผมจะได้กราบไหว้อย่างสนิทใจ  แล้วจะไปรับแม่ของผมมากราบหลวงปู่ให้เป็นสิริมงคลแก่ชีวิตสักครั้งหนึ่ง”

หลวงปู่ตอบว่า  “โยมเอ๋ย  อาตมาไม่ได้เป็นพระอรหันต์อะไรหรอก  คนเขาลือกันอย่างนั้นเอง”

“หลวงปู่ไม่ได้เป็นพระอรหันต์  แล้วมานั่งให้คนกราบทำไมเล่า”

“อาตมาก็ไม่ได้เรียกร้องให้ใครมากราบเขามากราบกันเอง  อาตมาก็สงเคราะห์เขาไป”

“ถ้าอย่างนั้นที่ผมเดินทางมาเจ็ดวันเจ็ดคืนนี่ก็เสียเวลาเปล่าน่ะสิครับ”

หลวงปู่ตอบว่า  “โยมไม่เสียเวลาหรอกอาตมาไม่ได้เป็นพระอรหันต์ก็จริง  แต่อาตมารู้ว่าพระอรหันต์มีคุณสมบัติอย่างไร  จำไว้นะ  พระอรหันต์มีคุณสมบัติสองประการหนึ่ง  ชอบสวมเสื้อกลับตะเข็บ  เอาด้านในมาไว้ด้านนอก  สอง  ชอบใส่รองเท้ากลับข้างเอาข้างขวามาใส่เท้าซ้าย  เอาข้างซ้ายมาใส่เท้าขวา  ถ้าเจอคนที่มีคุณสมบัติอย่างนี้ที่ไหนเข้าไปกราบไหว้ได้ทันที  นั่นแหละพระอรหันต์ตัวจริง”

ชายหนุ่มเดินทางกลับบ้านด้วยความผิดหวัง  พอใกล้ถึงบ้าน  เขาตะโกนเรียกหาแม่แต่ไกล  แม่ซึ่งกำลังหุงข้าวอยู่ในครัว  พอได้ยินเสียงลูกก็ทิ้งเตาไฟ  รีบคว้าเสื้อเก่า ๆ ขาด ๆ มาใส่  แล้วสวมรองเท้าด้วยความเร่งรีบ  ก่อนจะวิ่งถลันออกมากอดลูกชายด้วยความคิดถึงสุดหัวใจ  ลูกชายกอดแม่พลางร้องห่มร้องไห้  น้ำตาไหลอาบไหล่ของแม่

“แม่ครับ  ผมรู้สึกแย่มากที่ถูกหลอกให้ขึ้นไปถึงบนยอดเขาไกลแสนไกล  แม่รู้ไหมไม่มีพระอรหันต์ในโลกนี้หรอกครับ  ผมไม่น่าจากแม่ไปเลย”

พอผละออกจากอ้อมอกแม่  ลูกชายก็สังเกตเห็นว่าแม่ของตนแก่ลงไปมาก  หนำซ้ำยังมีอาการคล้ายคนเลอะเลือน  เห็นได้จากการที่แม่ใส่เสื้อกลับตะเข็บ  กลัดกระดุมผิดเม็ด  และสวมรองเท้าผิดข้าง  ทั้งหมดเกิดจากอารามรีบร้อนวิ่งออกมารับขวัญลูกชายจึงไม่ได้ดูแลเครื่องแต่งกายให้เรียบร้อย

“แม่ดูแก่ไปเยอะเลยนะครับ”

แม่บอกว่า  “แม่แก่ขนาดนี้แล้ว  ลูกจะทิ้งแม่ไปไหนอีกหรือเปล่า”

“ไม่แล้วครับแม่  ผมไม่เชื่ออีกแล้วว่าโลกนี้มีพระอรหันต์”

ว่าแล้วลูกชายก็สวมเสื้อให้แม่ใหม่พลางถอดรองเท้าที่สวมผิดข้างออกให้ด้วยหมายจะสวมให้ถูกข้าง

ระหว่างที่ก้มลงจนหน้าแนบชิดติดเท้าทั้งสองของแม่  เขาก็พลันได้ยินเสียงหลวงปู่แว่วมาเข้าหูว่า…

“โยมไม่เสียเวลาเปล่าหรอกนะ  หลวงปู่ไม่ได้เป็นพระอรหันต์  แต่หลวงปู่รู้ว่าพระอรหันต์มีลักษณะอย่างไร  จำไว้  ถ้าเจอใครที่สวมเสื้อด้านในกลับมาเป็นด้านนอก  และสวมรองเท้ากลับข้าง  กราบได้ทันที  คนนั้นแหละคือพระอรหันต์ตัวจริง”

ถอดรองเท้าให้แม่ยังไม่ทันเสร็จลูกชายก็รู้สึกสว่างโพลงขึ้นมาในหัวใจ  คิดว่าตัวเองช่างโง่เหลือเกิน  วิ่งระหกระเหินไปร้อยเอ็ดเจ็ดย่านน้ำมหาสมุทรเพื่อแสวงหาพระอรหันต์  ถูกหลอกมานับครั้งไม่ถ้วนโดยหารู้ไม่ว่าแท้ที่จริงพระอรหันต์ก็คือพ่อแม่ของเรานั่นเอง

พ่อแม่ของเราคือพระอรหันต์ในบ้านถ้าไม่มั่นใจว่าพระที่วัดเป็นพระอรหันต์หรือไม่  เพราะเราไม่ได้อยู่กับท่าน  จึงไม่รู้จักท่านทุกแง่ทุกมุม  ก็จงอย่าเสียใจว่าไม่มีพระอรหันต์ให้กราบไหว้  เพราะยังมีพระอรหันต์องค์จริงอีกประเภทหนึ่ง  ซึ่งเป็นพระอรหันต์เฉพาะตนนั่น คือ พ่อแม่ของเราท่านจำพรรษาอยู่ในชายคาเดียวกันกับเรามาตลอดเวลา  สององค์นี้ให้ชีวิต  กล่อมเกลี้ยงเลี้ยงดู  และรักเราอย่างไม่มีเงื่อนไขเป็นพระอรหันต์ตัวจริงในชีวิตเรา  แต่คำถามก็คือ  แล้วเราให้เวลาและความสำคัญกับพระอรหันต์สององค์นี้สมกับที่ท่านเป็นปูชนียบุคคลของเราหรือไม่

ก่อนจะไปกราบไหว้พระสงฆ์องค์เจ้าที่ไหน  จงอย่าลืมกราบไหว้พ่อแม่ของเราให้ได้เสียก่อน  นักปราชญ์ท่านบอกว่า “กราบพระหมื่นองค์แสนองค์ก็ไม่นับว่ามีคุณค่า  หากเธอยังไม่เคยกราบพ่อกราบแม่ของตัวเอง”  พระในบ้านนั้นเป็นพระอรหันต์ตัวจริง  เรากราบได้อย่างสนิทใจ  บำรุงได้อย่างเต็มที่  พ่อแม่เป็นเนื้อนาบุญของเราผู้เป็นลูกเป็นหลาน

ระหว่างที่คนกำลังสับสนกันว่าใครเป็นพระอรหันต์จริง ใครเป็นพระอรหันต์ปลอม  เราอย่าไปเสียเวลาสับสนกับเขา  จงมองกลับเข้าไปในบ้านของเรา  พ่อของเราอยู่ตรงนั้น  แม่ของเราอยู่ตรงนั้น…จงถามตัวเองว่า

เรากินอิ่มนอนอุ่น  ท่านกินอิ่มนอนอุ่นเหมือนเราหรือเปล่า

เรามีเงินมีทองใช้  ท่านมีเงินมีทองใช้เหมือนเราหรือเปล่า

เรามียศมีศักดิ์  ท่านมีศักดิ์เหมือนเราหรือเปล่า

เราสุขภาพดี  ท่านสุขภาพดีเหมือนเราหรือเปล่า

ก่อนที่เราจะทำดีกับคนทั้งโลก  อย่าลืมทำดีกับพระอรหันต์คนใกล้ตัวที่สุด  คือพ่อกับแม่เสียก่อน  เป็นการรับประกันได้ว่าเราทำดีไม่ผิดที่

จักรพรรดิกับร้านขายยา


“จักรพรรดิกับร้านขายยา”
............”ขจรศักดิ์”

จักรพรรดิคังซีป่วยเป็นโรคประหลาด แม้แพทย์หลวงในวังจะใช้โอสถดีหรือแพงแค่ไหนรักษา  ก็ไม่ปรากฏว่าอาการจะดีขึ้น  ทรงโกรธมาก  จึงยุติไม่ยอมรับการรักษาใดๆอีกจากแพทย์หลวง

คืนนี้จักรพรรดิคังซีออกท่องราตรีโดยลำพัง  เมื่อเดินผ่านมาถึงตรอกซอยเล็กๆแห่งหนึ่ง  พบว่ามีร้านขายยาตั้งอยู่ร้านหนึ่ง แม้จะย่างเข้ายามวิกาลแล้ว  แต่ก็ปรากฏว่าไฟในร้านยังคงสว่างไสวอยู่  และยังได้ยินเสียงอ่านหนังสืออย่างชัดเจนดังจากในร้าน  จักรพรรดิทรงคิดว่าในเมื่อแพทย์หลวงในวังไร้ความสามารถ  คนมีฝีมืออาจจะหาได้จากชุมชนทั่วๆไป  เพราะโบราณเคยกล่าวไว้ว่า  “ร้านยาเล็กๆมักมีโสมเลอค่าเก็บรักษาไว้”  ทำไมไม่ลองเข้าไปทดลองใช้บริการสักครั้ง  ว่าแล้ว  จักรพรรดิก็ตรงเข้าไปในร้าน  มีชายอายุไม่น่าถึง 40 ปีนั่งอ่านหนังสืออยู่  ทรงคิดว่า  คนนี้น่าจะเป็นหมอประจำร้าน  พอหมอพบว่ามีแขกมาเยือน  จึงถามว่า  "มีอะไรให้ผมรับใช้ยามดึกครับ"

จักรพรรดิทรงตรัสว่า  "ต้องขออภัยที่ต้องเข้ามารบกวนยามดึก  ข้าป่วยเป็นโรคประหลาด  คันไปทั้งตัว  แล้วยังมีผื่นแดงๆขึ้นตามตัวด้วย  หาหมอที่ไหนก็ไม่หาย  รบกวนหมอช่วยดูแลรักษาให้หน่อย"

"ถ้าเช่นนั้นช่วยถอดเสื้อออกหน่อย  จะได้ตรวจดูอาการ"
เมื่อจักรพรรดิถอดเสื้อออก  หมอมองดูเดี๋ยวเดียวก็บอกว่า  "ท่านไม่ต้องกังวล  ท่านไม่ได้ป่วยเป็นโรคร้ายแรงอะไรหรอก  สาเหตุของอาการล้วนมาจากการที่ท่านมักรับประทานแต่อาหารดีๆมากจนเกินความจำเป็นต่อร่างกาย   แล้วยังทานโสมเป็นประจำ  มันจึงเกิดอาการของโรคร้อนในสะสมอย่างรุนแรง  เลยทำให้มีผื่นแดงขึ้นเต็มตัวไปหมด  แล้วยังมีอาการคันไปทั้งตัว"

จักรพรรดิทรงถามว่า  "แล้วมันจะหายขาดไหม"
หมอตอบด้วยความมั่นใจว่า  "ไม่ต้องวิตก  เดี๋ยวจัดยาให้  อีกไม่นานก็จะหายเป็นปลิดทิ้ง"
ว่าแล้วหมอก็เอื้อมมือไปยกกล่องยาลงมาจากบนหิ้ง  ปูผ้าไว้บนโต๊ะ  แล้วเทยาทั้งหมดออกมา  น่าจะมีน้ำหนักสัก 4 หรือ 5 กิโลกรัม  พอจักรพรรดิเห็นเข้าก็ตกใจ  "หมอ ยาเยอะขนาดนี้จะทานหมดได้ไง"
หมอรีบชี้แจงว่า  "สมุนไพรพวกนี้เป็นโกฐน้ำเต้า  ไม่ได้มีไว้ให้ท่านรับประทาน  แต่ให้เอากลับบ้านไปต้มกับน้ำประมาณ 50 กิโลกรัม  พอต้มจนเดือดแล้ว  ให้เทใส่อ่างน้ำแล้วผสมน้ำธรรมดาให้พอประมาณ  อุณหภูมิให้อุ่นกำลังดี แล้วก็ลงไปนั่งแช่วันละครั้ง  น่าจะแช่สักสามถึงสี่ครั้ง  โรคก็น่าจะหายเอง"

จักรพรรดิคิดในใจว่า  ในเมื่อแพทย์หลวงในวังรักษามานานก็ยังไม่ยอมหาย  สมุนไพรพื้นบ้านแบบนี้จะรักษาให้หายได้จริงเหรอ  หมอเห็นแววตาเขามีความสงสัย  จึงบอกว่า  "ท่านสบายใจได้  ผมไม่ได้จะหลอกเอาเงินท่านหรอก  จงเอาสมุนไพรพวกนี้ไปลองใช้ก่อน  หากไม่หาย  สตางค์แดงเดียวผมก็ไม่คิด"  จักรพรรดิตรัสว่า  "ถ้าเช่นนั้นก็จะลองนำไปทดลองใช้ดู  แต่หากรักษาให้หายได้จริง  รับรองจะมีรางวัลสมนาคุณอย่างงาม"

เมื่อจักรพรรดิกลับมาถึงวัง  ก็ทำตามที่หมอสั่งทุกขั้นตอน  พอก้าวเท้าลงไปในอ่าง  ก็รู้สึกได้ทันทีว่าเนื้อตัวช่างสบายอย่างบอกไม่ถูก

หลังจากแช่ได้สามครั้ง  อาการคันเนื้อคันตัวก็ค่อยๆหายเป็นปลิดทิ้ง  ผื่นแดงก็ค่อยๆจางหายไปจนหมด  จักรพรรดิทรงยินดีปรีดามาก  วันที่สี่ก็กลับไปหาหมอที่ร้านอีกครั้ง

เมื่อหมอเห็นสีหน้ายิ้มย่องผ่องใสของคนไข้ก็รู้ทันทีว่า  อาการป่วยต้องหายแล้วเป็นแน่แท้  เลยแกล้งถามว่า  "ท่านมาชำระค่ายาใช่หรือไม่"
"ใช่แน่นอน  ไม่ทราบว่าหมอจะคิดค่ารักษาเท่าไหร่"
หมอหัวเราะชอบใจใหญ่  "ล้อเล่นนะครับ คืนนั้นผมเห็นสีหน้าท่านอีหลักอีเหลื่อไม่ค่อยมั่นใจ  จึงแกล้งหยอกไปว่าไม่หายไม่คิดเงิน  ตอนนี้แม้จะหายเจ็บหายป่วยแล้ว  แต่ก็ไม่คิดเงินเช่นกัน  ผมเห็นท่านเป็นคนที่มีบุคลิกโหงวเฮ้งดีเยี่ยม  แค่คิดอยากจะเป็นเพื่อนกับท่านก็เพียงพอแล้ว  ถ้าไม่เป็นการละลาบละล้วงจนเกินไป ผมขอทราบชื่อเสียงเรียงนามท่านหน่อยจะรังเกียจไหม"
จักรพรรดิยิ้มก่อนตอบไปว่า  "ข้าแซ่หวง  ชื่อเทียนซิง เป็นนักศึกษา"
หมอดีใจรีบตอบว่า  "ผมแซ่จ้าว  ชื่อกุ้ยถัง  เป็นนักศึกษาจนๆคนหนึ่ง  พ่ออยากให้ผมไปสอบจอหงวนให้ได้  เพื่อจะสร้างชื่อเสียงให้วงตระกูล  แต่แม้จะพยายามมากแค่ไหนก็ตาม  ก็ต้องผิดหวังทุกปี  สุดท้ายเลยตัดสินใจมาเปิดร้านขายยาเล็กๆร้านนี้อยู่ในเมืองหลวง  นอกจากมีโอกาสรักษาคนไข้แล้ว  ก็ถือโอกาสทบทวนตำราเรียนเตรียมตัวสอบไปในตัว  แค่หวังว่าสักวันคงได้มีโอกาสประสบความสำเร็จในการสอบจอหงวนให้ได้"
จักรพรรดิตรัสว่า  "คุณพี่จ้าว  โบราณสอนไว้ว่า  “แม้บนกระดานประกาศผลสอบจะไร้ซึ่งชื่อเรา  แต่ใต้ฝ่าเท้าเราก็ยังมีเส้นทางให้เดินไปข้างหน้าเสมอ”  ด้วยความสามารถด้านการเยียวยารักษาคนไข้เก่งๆอย่างท่าน  ข้าสามารถแนะนำให้ท่านเข้าไปเป็นแพทย์หลวงในวัง  นี่ก็น่าจะถือว่าเป็นการประสบความสำเร็จแล้วไม่ใช่เหรอ"
หมอยิ้มก่อนตอบว่า  "นั่นไม่ใช่จุดมุ่งหมายของผม  ในความคิดของผม  คนเป็นหมอควรที่จะช่วยเหลือเยียวยารักษาชาวบ้านทั่วๆไป  เพื่อที่จะช่วยบรรเทาทุกข์แก่พวกเขา  หากเข้าไปเป็นแพทย์หลวงในวัง  แม้จะร่ำรวยสุขสบาย  แต่ไม่สามารถรับใช้ชาวบ้านทั่วไป  นั่นคงไม่ใช่สิ่งที่ผมปราถนา  ไร้ประโยชน์ที่อุตส่าห์ฝึกฝนจนเป็นหมอ"

พอจักรพรรดิได้ยินดังนั้น  จึงตรัสว่า  "ท่านช่างเป็นคนดีที่มีจริยธรรมสูงส่งเหลือเกิน  นับถือจริงๆ  แต่ในเมื่อท่านก็ลองสอบจอหงวนไปแล้วตั้งหลายครั้ง  แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ  แล้วทำไมไม่หันมาเอาดีทางด้านการเยียวยารักษาให้จริงจังไปเลยไม่ดีกว่าเหรอ"
หมอตอบว่า  "ผมก็เคยคิดเช่นนั้นเหมือนกัน  แต่การเป็นหมอก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีปัญหา  ร้านยาเล็กๆร้านนี้ที่ตั้งอยู่ในตรอกซอย ยากนักที่จะประสบความสำเร็จ จะเปิดร้านใหญ่ทำเลดีก็ต้องมีเงินทุนมากพอสมควร  ผมไม่มีเงินทุนเพียงพอ  มีแต่ความสามารถก็คงยากที่จะเห็นเดือนเห็นตะวัน หากพี่ท่านมีโอกาสร่ำรวยกลายเป็นเศรษฐีสักวันในอนาคต  ก็จงช่วยผมสักแรงเปิดกิจการร้านขายยาใหญ่โตสักร้าน  ถือว่าเป็นค่ารักษาในครั้งนี้ก็แล้วกัน"

พอจักรพรรดิได้ฟังเรื่องราวทั้งหมดแล้วก็ตอบแบบไร้ความลังเล  "หากจะเปิดร้านจะตั้งชื่อว่าอะไรดี  ชื่อ"จ้าวกุ้ยถัง"ชื่อเดียวกับชื่อท่านก็แล้วกัน"
หมอเห็นจักรพรรดิพูดอย่างเอาจริงเอาจัง  จึงรีบตอบกลับไปว่า  "ที่พูดเมื่อสักครู่เป็นการพูดเล่น  อย่าถือเป็นสาระ  จะเปิดร้านขายยาใหญ่โตต้องใช้เงินเยอะ  ก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ท่านจะร่ำรวยเป็นเศรษฐี  เป็นเรื่องไกลสุดขอบฟ้า  ไม่กล้าหวังเช่นนั้นเด็ดขาด"

จักรพรรดิตอบว่า  "ทำไมไม่ลองดูเล่า"  พูดแล้วก็หยิบพู่กันที่วางอยู่บนโต๊ะ  แล้วเขียนข้อความลงบนกระดาษ  ประทับตราประจำตัว  แล้วก็ยื่นให้หมอ  "พรุ่งนี้ให้เจ้าไปติดต่อฝ่ายบริหารจัดการของวังหลวง  ข้ามีเพื่อนอยู่ที่นั่น  ยื่นจดหมายฉบับนี้ให้เขา  ไม่แน่ว่าเขาอาจจะให้ความช่วยเหลือเจ้าได้"  เมื่อพูดเสร็จแล้วก็ลากลับทันที

หมอมองดูแขกที่จากไปอย่างรีบร้อน  นึกในใจว่าหมอนี่ช่างเป็นมนุษย์ประหลาดแท้  วันถัดมา  หมอก็อยากลองดูสักครั้ง  จึงนำจดหมายฉบับนั้นตรงไปยังฝ่ายบริหารภายในของวังหลวง  หลังยื่นจดหมายให้เจ้าหน้าที่ไปแล้ว  ครู่เดียวก็มีขันทีท่านหนึ่งออกมาต้อนรับ  พาหมอเข้าไปภายในวัง  แล้วก็มาถึงตึกหลังหนึ่ง  ขันทีเปิดประตูออก  ชี้นิ้วเข้าไปข้างใน  ถามเขาว่า   "หมอครับ  เงินเหล่านี้เพียงพอสำหรับค่ายาไหม"

พอหมอเพ่งดูให้ชัด  ต้องตกใจอย่างมาก  ในห้องนั้นมีแต่เงินเป็นกองๆ  เขายืนนิ่งจนนึกว่ากำลังฝันไปหรือเปล่า  ขันทีบอกว่า  "คุณหมอครับ  จักรพรรดิท่านรับสั่งไว้ว่า  คุณหมอช่วยรักษาโรคให้ฝ่าบาทจนหายเป็นปลิดทิ้ง  ไม่ยอมเก็บเงินสักแดง  ฝ่าบาทจึงตั้งพระทัยจะมอบร้าน "จ้าวกุ้ยถัง" ให้ท่านได้สมหวังสักที"

หมอเหมือนเพิ่งตื่นจากฝัน  แท้จริงคนที่ตนแค่อยากเป็นเพื่อนด้วย กลับกลายเป็นจักรพรรดิที่อยู่เหนือหัว  อยากตำหนิตัวเองเหลือเกินว่า  “มีตาหามีแววไม่”

หลังจากนั้นไม่นาน  ร้านขายยาใหญ่ๆร้านหนึ่งก็ผุดขึ้นมาในทำเลชั้นเยี่ยมของเมืองปักกิ่ง  ชื่อว่า "จ้าวกุ้ยถัง"

ในวันทำพิธีเปิดร้าน  ไม่คาดคิดมาก่อนว่าจักรพรรดิคังซีท่านก็เสด็จมาร่วมงานด้วยพระองค์เอง  ทำให้หมอลนลานไปหมด  จักรพรรดิหัวเราะชอบใจในความตื่นเต้นของหมอ  "อย่าได้ตกใจ  ค่ารักษาที่ติดค้างหมอไว้  บัดนี้ได้จ่ายให้หมดแล้ว  แต่ถ้าข้ามาหาหมออีกเมื่อไหร่  ก็อย่าได้คิดค่ารักษาข้าอีกนะ"

หลังจากวันนั้น  ในกรุงปักกิ่งก็มีร้านขายยาที่โด่งดังแบบไม่มีใครไม่รู้จัก  นามว่า  "จ้าวกุ้ยถัง" ตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่กลางเมืองหลวง

นี่เป็นเรื่องที่เล่าสู่กันฟังนานมาแล้วในเมืองจีน  มันสอนให้รู้ว่า  "คนซื่อ  ใจซื่อ  คนดี  ใจดี  มักจะมีดีตอบ"

www.facebook.com/Flintlibrary
“ขจรศักดิ์”
แปลและเรียบเรียง

วันพุธที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2562

ชมพระไตรปิฎก ของจริงอายุ 2100 ปี จากศรีลังกา


ชมนิทรรศการวิสาขบูชา เดอะมอลล์โคราช พุทธธรรม...แก่นธรรม...แก่นแท้ ชมพระไตรปิฎก ของจริงอายุ 2100 ปี จากศรีลังกา ถือเป็นบุญตาแท้ๆ ที่ได้เห็นภาพจารึก ประวัติศาสตร์เกิดขึ้นในงานบุญยิ่งใหญ่ที่โคราช เมื่อ “เลขาสมเด็จพระสังฆราช” จากประเทศศรีลังกา เป็นตัวแทนคณะสงฆ์อัญเชิญพระไตรปิฎก อายุกว่า 2100 ปีเพื่ออันเชิญประดิษฐานในงาน “วิสาขบูชา พุทธบารมี ประจำปี 2562” ที่ เอ็มซีซี ฮอลล์ ชั้น 3 ห้างเดอะมอลล์โคราช เพื่อให้พุทธศาสนิกชนได้ชมและสักการะเป็นบุญตาเป็นครั้งแรกของประเทศไทย สำหรับงาน “วิสาขบูชา พุทธบารมี” เริ่ม 2 พ.ค.- 2 มิ.ย.2562 จัด 32 วันนานที่สุดในโลก โดยขอเชิญพุทธศาสนิกชนสักการะพระบรมสารีริกธาตุ 9 พระองค์จาก 4 ประเทศ ไฮไลท์ฟังธรรมบรรยายทุกวัน ร่วมพิธี“กวนข้าวมธุปายาส”หรือ“กวนข้าวทิพย์” ร่วมรำลึก“วันอัฏฐมีบูชา” โดยทางเพจ วิสาขบูชา พุทธบารมี ได้ระบุกิจกรรมงานมหามงคลในครั้งนี้ว่า พระไตรปิฎก ฉบับภาษาสิงหล จากประเทศศรีลังกา อายุ 2,100 ปี อัญเชิญถึงมณฑลพิธี เอ็มซีซี ฮอลล์ ชั้น 3 เดอะมอลล์โคราช เพื่อประดิษฐานภายในงาน ให้พุทธศาสนิกชนได้ร่วมสักการะในงาน วิสาขบูชา พุทธบารมี ประจำปี 2562 “ปรารถนาเพียงได้นำพระไตรปิฎกออกจากตู้ มาสู่ใจให้สาธุชนได้น้อมนำไปปฏิบัติ” 2 พ.ค. ถึง 2 มิ.ย. 2562 นี้