วันพุธที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2562

จักรพรรดิกับร้านขายยา


“จักรพรรดิกับร้านขายยา”
............”ขจรศักดิ์”

จักรพรรดิคังซีป่วยเป็นโรคประหลาด แม้แพทย์หลวงในวังจะใช้โอสถดีหรือแพงแค่ไหนรักษา  ก็ไม่ปรากฏว่าอาการจะดีขึ้น  ทรงโกรธมาก  จึงยุติไม่ยอมรับการรักษาใดๆอีกจากแพทย์หลวง

คืนนี้จักรพรรดิคังซีออกท่องราตรีโดยลำพัง  เมื่อเดินผ่านมาถึงตรอกซอยเล็กๆแห่งหนึ่ง  พบว่ามีร้านขายยาตั้งอยู่ร้านหนึ่ง แม้จะย่างเข้ายามวิกาลแล้ว  แต่ก็ปรากฏว่าไฟในร้านยังคงสว่างไสวอยู่  และยังได้ยินเสียงอ่านหนังสืออย่างชัดเจนดังจากในร้าน  จักรพรรดิทรงคิดว่าในเมื่อแพทย์หลวงในวังไร้ความสามารถ  คนมีฝีมืออาจจะหาได้จากชุมชนทั่วๆไป  เพราะโบราณเคยกล่าวไว้ว่า  “ร้านยาเล็กๆมักมีโสมเลอค่าเก็บรักษาไว้”  ทำไมไม่ลองเข้าไปทดลองใช้บริการสักครั้ง  ว่าแล้ว  จักรพรรดิก็ตรงเข้าไปในร้าน  มีชายอายุไม่น่าถึง 40 ปีนั่งอ่านหนังสืออยู่  ทรงคิดว่า  คนนี้น่าจะเป็นหมอประจำร้าน  พอหมอพบว่ามีแขกมาเยือน  จึงถามว่า  "มีอะไรให้ผมรับใช้ยามดึกครับ"

จักรพรรดิทรงตรัสว่า  "ต้องขออภัยที่ต้องเข้ามารบกวนยามดึก  ข้าป่วยเป็นโรคประหลาด  คันไปทั้งตัว  แล้วยังมีผื่นแดงๆขึ้นตามตัวด้วย  หาหมอที่ไหนก็ไม่หาย  รบกวนหมอช่วยดูแลรักษาให้หน่อย"

"ถ้าเช่นนั้นช่วยถอดเสื้อออกหน่อย  จะได้ตรวจดูอาการ"
เมื่อจักรพรรดิถอดเสื้อออก  หมอมองดูเดี๋ยวเดียวก็บอกว่า  "ท่านไม่ต้องกังวล  ท่านไม่ได้ป่วยเป็นโรคร้ายแรงอะไรหรอก  สาเหตุของอาการล้วนมาจากการที่ท่านมักรับประทานแต่อาหารดีๆมากจนเกินความจำเป็นต่อร่างกาย   แล้วยังทานโสมเป็นประจำ  มันจึงเกิดอาการของโรคร้อนในสะสมอย่างรุนแรง  เลยทำให้มีผื่นแดงขึ้นเต็มตัวไปหมด  แล้วยังมีอาการคันไปทั้งตัว"

จักรพรรดิทรงถามว่า  "แล้วมันจะหายขาดไหม"
หมอตอบด้วยความมั่นใจว่า  "ไม่ต้องวิตก  เดี๋ยวจัดยาให้  อีกไม่นานก็จะหายเป็นปลิดทิ้ง"
ว่าแล้วหมอก็เอื้อมมือไปยกกล่องยาลงมาจากบนหิ้ง  ปูผ้าไว้บนโต๊ะ  แล้วเทยาทั้งหมดออกมา  น่าจะมีน้ำหนักสัก 4 หรือ 5 กิโลกรัม  พอจักรพรรดิเห็นเข้าก็ตกใจ  "หมอ ยาเยอะขนาดนี้จะทานหมดได้ไง"
หมอรีบชี้แจงว่า  "สมุนไพรพวกนี้เป็นโกฐน้ำเต้า  ไม่ได้มีไว้ให้ท่านรับประทาน  แต่ให้เอากลับบ้านไปต้มกับน้ำประมาณ 50 กิโลกรัม  พอต้มจนเดือดแล้ว  ให้เทใส่อ่างน้ำแล้วผสมน้ำธรรมดาให้พอประมาณ  อุณหภูมิให้อุ่นกำลังดี แล้วก็ลงไปนั่งแช่วันละครั้ง  น่าจะแช่สักสามถึงสี่ครั้ง  โรคก็น่าจะหายเอง"

จักรพรรดิคิดในใจว่า  ในเมื่อแพทย์หลวงในวังรักษามานานก็ยังไม่ยอมหาย  สมุนไพรพื้นบ้านแบบนี้จะรักษาให้หายได้จริงเหรอ  หมอเห็นแววตาเขามีความสงสัย  จึงบอกว่า  "ท่านสบายใจได้  ผมไม่ได้จะหลอกเอาเงินท่านหรอก  จงเอาสมุนไพรพวกนี้ไปลองใช้ก่อน  หากไม่หาย  สตางค์แดงเดียวผมก็ไม่คิด"  จักรพรรดิตรัสว่า  "ถ้าเช่นนั้นก็จะลองนำไปทดลองใช้ดู  แต่หากรักษาให้หายได้จริง  รับรองจะมีรางวัลสมนาคุณอย่างงาม"

เมื่อจักรพรรดิกลับมาถึงวัง  ก็ทำตามที่หมอสั่งทุกขั้นตอน  พอก้าวเท้าลงไปในอ่าง  ก็รู้สึกได้ทันทีว่าเนื้อตัวช่างสบายอย่างบอกไม่ถูก

หลังจากแช่ได้สามครั้ง  อาการคันเนื้อคันตัวก็ค่อยๆหายเป็นปลิดทิ้ง  ผื่นแดงก็ค่อยๆจางหายไปจนหมด  จักรพรรดิทรงยินดีปรีดามาก  วันที่สี่ก็กลับไปหาหมอที่ร้านอีกครั้ง

เมื่อหมอเห็นสีหน้ายิ้มย่องผ่องใสของคนไข้ก็รู้ทันทีว่า  อาการป่วยต้องหายแล้วเป็นแน่แท้  เลยแกล้งถามว่า  "ท่านมาชำระค่ายาใช่หรือไม่"
"ใช่แน่นอน  ไม่ทราบว่าหมอจะคิดค่ารักษาเท่าไหร่"
หมอหัวเราะชอบใจใหญ่  "ล้อเล่นนะครับ คืนนั้นผมเห็นสีหน้าท่านอีหลักอีเหลื่อไม่ค่อยมั่นใจ  จึงแกล้งหยอกไปว่าไม่หายไม่คิดเงิน  ตอนนี้แม้จะหายเจ็บหายป่วยแล้ว  แต่ก็ไม่คิดเงินเช่นกัน  ผมเห็นท่านเป็นคนที่มีบุคลิกโหงวเฮ้งดีเยี่ยม  แค่คิดอยากจะเป็นเพื่อนกับท่านก็เพียงพอแล้ว  ถ้าไม่เป็นการละลาบละล้วงจนเกินไป ผมขอทราบชื่อเสียงเรียงนามท่านหน่อยจะรังเกียจไหม"
จักรพรรดิยิ้มก่อนตอบไปว่า  "ข้าแซ่หวง  ชื่อเทียนซิง เป็นนักศึกษา"
หมอดีใจรีบตอบว่า  "ผมแซ่จ้าว  ชื่อกุ้ยถัง  เป็นนักศึกษาจนๆคนหนึ่ง  พ่ออยากให้ผมไปสอบจอหงวนให้ได้  เพื่อจะสร้างชื่อเสียงให้วงตระกูล  แต่แม้จะพยายามมากแค่ไหนก็ตาม  ก็ต้องผิดหวังทุกปี  สุดท้ายเลยตัดสินใจมาเปิดร้านขายยาเล็กๆร้านนี้อยู่ในเมืองหลวง  นอกจากมีโอกาสรักษาคนไข้แล้ว  ก็ถือโอกาสทบทวนตำราเรียนเตรียมตัวสอบไปในตัว  แค่หวังว่าสักวันคงได้มีโอกาสประสบความสำเร็จในการสอบจอหงวนให้ได้"
จักรพรรดิตรัสว่า  "คุณพี่จ้าว  โบราณสอนไว้ว่า  “แม้บนกระดานประกาศผลสอบจะไร้ซึ่งชื่อเรา  แต่ใต้ฝ่าเท้าเราก็ยังมีเส้นทางให้เดินไปข้างหน้าเสมอ”  ด้วยความสามารถด้านการเยียวยารักษาคนไข้เก่งๆอย่างท่าน  ข้าสามารถแนะนำให้ท่านเข้าไปเป็นแพทย์หลวงในวัง  นี่ก็น่าจะถือว่าเป็นการประสบความสำเร็จแล้วไม่ใช่เหรอ"
หมอยิ้มก่อนตอบว่า  "นั่นไม่ใช่จุดมุ่งหมายของผม  ในความคิดของผม  คนเป็นหมอควรที่จะช่วยเหลือเยียวยารักษาชาวบ้านทั่วๆไป  เพื่อที่จะช่วยบรรเทาทุกข์แก่พวกเขา  หากเข้าไปเป็นแพทย์หลวงในวัง  แม้จะร่ำรวยสุขสบาย  แต่ไม่สามารถรับใช้ชาวบ้านทั่วไป  นั่นคงไม่ใช่สิ่งที่ผมปราถนา  ไร้ประโยชน์ที่อุตส่าห์ฝึกฝนจนเป็นหมอ"

พอจักรพรรดิได้ยินดังนั้น  จึงตรัสว่า  "ท่านช่างเป็นคนดีที่มีจริยธรรมสูงส่งเหลือเกิน  นับถือจริงๆ  แต่ในเมื่อท่านก็ลองสอบจอหงวนไปแล้วตั้งหลายครั้ง  แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ  แล้วทำไมไม่หันมาเอาดีทางด้านการเยียวยารักษาให้จริงจังไปเลยไม่ดีกว่าเหรอ"
หมอตอบว่า  "ผมก็เคยคิดเช่นนั้นเหมือนกัน  แต่การเป็นหมอก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีปัญหา  ร้านยาเล็กๆร้านนี้ที่ตั้งอยู่ในตรอกซอย ยากนักที่จะประสบความสำเร็จ จะเปิดร้านใหญ่ทำเลดีก็ต้องมีเงินทุนมากพอสมควร  ผมไม่มีเงินทุนเพียงพอ  มีแต่ความสามารถก็คงยากที่จะเห็นเดือนเห็นตะวัน หากพี่ท่านมีโอกาสร่ำรวยกลายเป็นเศรษฐีสักวันในอนาคต  ก็จงช่วยผมสักแรงเปิดกิจการร้านขายยาใหญ่โตสักร้าน  ถือว่าเป็นค่ารักษาในครั้งนี้ก็แล้วกัน"

พอจักรพรรดิได้ฟังเรื่องราวทั้งหมดแล้วก็ตอบแบบไร้ความลังเล  "หากจะเปิดร้านจะตั้งชื่อว่าอะไรดี  ชื่อ"จ้าวกุ้ยถัง"ชื่อเดียวกับชื่อท่านก็แล้วกัน"
หมอเห็นจักรพรรดิพูดอย่างเอาจริงเอาจัง  จึงรีบตอบกลับไปว่า  "ที่พูดเมื่อสักครู่เป็นการพูดเล่น  อย่าถือเป็นสาระ  จะเปิดร้านขายยาใหญ่โตต้องใช้เงินเยอะ  ก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ท่านจะร่ำรวยเป็นเศรษฐี  เป็นเรื่องไกลสุดขอบฟ้า  ไม่กล้าหวังเช่นนั้นเด็ดขาด"

จักรพรรดิตอบว่า  "ทำไมไม่ลองดูเล่า"  พูดแล้วก็หยิบพู่กันที่วางอยู่บนโต๊ะ  แล้วเขียนข้อความลงบนกระดาษ  ประทับตราประจำตัว  แล้วก็ยื่นให้หมอ  "พรุ่งนี้ให้เจ้าไปติดต่อฝ่ายบริหารจัดการของวังหลวง  ข้ามีเพื่อนอยู่ที่นั่น  ยื่นจดหมายฉบับนี้ให้เขา  ไม่แน่ว่าเขาอาจจะให้ความช่วยเหลือเจ้าได้"  เมื่อพูดเสร็จแล้วก็ลากลับทันที

หมอมองดูแขกที่จากไปอย่างรีบร้อน  นึกในใจว่าหมอนี่ช่างเป็นมนุษย์ประหลาดแท้  วันถัดมา  หมอก็อยากลองดูสักครั้ง  จึงนำจดหมายฉบับนั้นตรงไปยังฝ่ายบริหารภายในของวังหลวง  หลังยื่นจดหมายให้เจ้าหน้าที่ไปแล้ว  ครู่เดียวก็มีขันทีท่านหนึ่งออกมาต้อนรับ  พาหมอเข้าไปภายในวัง  แล้วก็มาถึงตึกหลังหนึ่ง  ขันทีเปิดประตูออก  ชี้นิ้วเข้าไปข้างใน  ถามเขาว่า   "หมอครับ  เงินเหล่านี้เพียงพอสำหรับค่ายาไหม"

พอหมอเพ่งดูให้ชัด  ต้องตกใจอย่างมาก  ในห้องนั้นมีแต่เงินเป็นกองๆ  เขายืนนิ่งจนนึกว่ากำลังฝันไปหรือเปล่า  ขันทีบอกว่า  "คุณหมอครับ  จักรพรรดิท่านรับสั่งไว้ว่า  คุณหมอช่วยรักษาโรคให้ฝ่าบาทจนหายเป็นปลิดทิ้ง  ไม่ยอมเก็บเงินสักแดง  ฝ่าบาทจึงตั้งพระทัยจะมอบร้าน "จ้าวกุ้ยถัง" ให้ท่านได้สมหวังสักที"

หมอเหมือนเพิ่งตื่นจากฝัน  แท้จริงคนที่ตนแค่อยากเป็นเพื่อนด้วย กลับกลายเป็นจักรพรรดิที่อยู่เหนือหัว  อยากตำหนิตัวเองเหลือเกินว่า  “มีตาหามีแววไม่”

หลังจากนั้นไม่นาน  ร้านขายยาใหญ่ๆร้านหนึ่งก็ผุดขึ้นมาในทำเลชั้นเยี่ยมของเมืองปักกิ่ง  ชื่อว่า "จ้าวกุ้ยถัง"

ในวันทำพิธีเปิดร้าน  ไม่คาดคิดมาก่อนว่าจักรพรรดิคังซีท่านก็เสด็จมาร่วมงานด้วยพระองค์เอง  ทำให้หมอลนลานไปหมด  จักรพรรดิหัวเราะชอบใจในความตื่นเต้นของหมอ  "อย่าได้ตกใจ  ค่ารักษาที่ติดค้างหมอไว้  บัดนี้ได้จ่ายให้หมดแล้ว  แต่ถ้าข้ามาหาหมออีกเมื่อไหร่  ก็อย่าได้คิดค่ารักษาข้าอีกนะ"

หลังจากวันนั้น  ในกรุงปักกิ่งก็มีร้านขายยาที่โด่งดังแบบไม่มีใครไม่รู้จัก  นามว่า  "จ้าวกุ้ยถัง" ตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่กลางเมืองหลวง

นี่เป็นเรื่องที่เล่าสู่กันฟังนานมาแล้วในเมืองจีน  มันสอนให้รู้ว่า  "คนซื่อ  ใจซื่อ  คนดี  ใจดี  มักจะมีดีตอบ"

www.facebook.com/Flintlibrary
“ขจรศักดิ์”
แปลและเรียบเรียง

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น